ม.มหิดล ปรับนิยามผู้สูงอายุ-ขยายอายุแรงงาน

09 เม.ย. 2564 | 05:36 น.

มหิดล แนะเชิงนโยบาย ปรับนิยามผู้สูงอายุ กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ขยายอายุเกษียณ และให้การคุ้มครองการทำงานที่ชัดเจน เผยคนวัย 60 - 64 ปี ยังมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตแข็งแรง ถือเป็น Active Aging ทำงานได้ ขณะที่ประชากรสูงอายุไทย 12 ล้านคน ยังมีงานทำเพียง 1 ใน 3 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง ๆ ที่ความมั่นคงในชีวิตก็ลดลงเรื่อยๆ เช่นกัน

วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ซึ่งเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุทั่วโลกขององค์การอนามัยโลก (WHO) คือการเป็น Active Aging หรือ "สูงวัยอย่างมีพลัง" ปัจจุบันพบว่าผู้สูงอายุในหลายประเทศที่พัฒนาแล้วยังคงทำงานพึ่งพาตนเอง เป็นการทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี จากการได้ทำงาน อยู่อย่างมั่นคง และมีคุณค่า แต่กลับพบว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาผู้สูงอายุไทยทำงานน้อยลงเรื่อยๆ 

ม.มหิดล ปรับนิยามผู้สูงอายุ-ขยายอายุแรงงาน

รองศาสตราจารย์ ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล (IPSR) เปิดเผยว่า ผลจากงานวิจัยของสถาบัน IPSR พบว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผู้สูงอายุไทยในปัจจุบัน มีจำนวนถึงประมาณ 12 ล้านคน หรือ 18% ของประชากรทั้งหมด มีอัตราการทำงานเพียงประมาณ 1 ใน 3 โดยมีแนวโน้มน้อยลงเรื่อยๆ หลังเกษียณ หรืออายุ 60 ปีขึ้นไปในวัยผู้สูงอายุ ตามการนิยามผู้สูงอายุของไทย โดยส่วนหนึ่งเกิดจากมโนคติที่ว่า เมื่ออายุ 60 ปีแล้ว ถึงเวลาหยุดทำงานมาใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่กับลูกหลาน โดยมีรายได้หลักเพียงจากทรัพย์สินที่ตนออมไว้ และการเกื้อกูลจากลูกหลานในครอบครัว หรือเงินบำเหน็จบำนาญ เฉพาะในกลุ่มข้าราชการ พนักงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือผู้ประกันตน ประกันสังคมที่เข้าข่ายได้รับสิทธิประโยชน์ กรณีชราภาพ ซึ่งมีจำนวนไม่มาก

แต่ด้วยภาวะทางประชากรที่เปลี่ยนไป พบว่าประชากรไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานิยมเป็นโสด แต่งงานและมีลูกกันน้อยลง จนส่งผลให้มีจำนวนอัตราการเกิดที่ต่ำลงด้วย จึงทำให้ผู้สูงอายุไทยในปัจจุบัน ไม่สามารถใช้ชีวิตในบั้นปลายได้อย่างมั่นคง ด้วยเพียงการเกื้อหนุนจากลูกหลานเป็นหลักเท่านั้น นอกจากนี้ ยังพบว่า การใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีความมั่นคงทางรายได้ จะทำให้เกิดพลังชีวิต หรือ Active ลดลง ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตอีกด้วย

ในจำนวนแรงงานทั้งหมดในประเทศไทย เพียง 10% เป็นแรงงานในภาครัฐ การขยายอายุเกษียณควรขึ้นอยู่กับบริบทการทำงานในแต่ละกลุ่มประชากร จะแตกต่างกันไปในแต่ละลักษณะงาน โดยที่ผ่านมาพบว่า มีข้าราชการเพียง 2 กลุ่ม ที่ได้รับการขยายอายุเกษียณ คือ อาจารย์ในมหาวิทยาลัย และข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ซึ่งได้รับความมั่นคงจากระบบบำเหน็จ-บำนาญ นอกจากนั้น อยู่ในภาคเอกชนซึ่งได้รับการคุ้มครองจากระบบประกันสังคม และที่น่าเป็นห่วง คือ กลุ่มแรงงานนอกระบบที่ไม่ได้รับการคุ้มครองการทำงานในรูปแบบใดๆ ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว และแรงงานภาคเกษตร ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่อยู่ในสัดส่วนจำนวนมากในปัจจุบัน

จากการวิจัยประชากรในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ผ่านมา มีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ได้ให้ข้อเสนอแนะในเชิงนโยบาย เพื่อให้มีการปรับนิยามผู้สูงอายุ กำหนดกลุ่มเป้าหมายของการขยายอายุเกษียณ และการให้การคุ้มครองการทำงานที่ชัดเจน จากข้อมูลทางด้านสุขภาพพบว่า กลุ่มประชากรที่อยู่ในวัย 60 - 64 ปียังคงมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่แข็งแรง ตลอดจนมีความพร้อมทางด้านสติปัญญา และมากด้วยประสบการณ์ ถือเป็น Active Aging ซึ่งมีศักยภาพที่จะทำงานตามเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุขององค์การอนามัยโลก (WHO) ต่อไปได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง