หุ้นไทย “พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ”

02 ธ.ค. 2563 | 06:49 น.

บล.ทิสโก้ชี้ตลาดหุ้นไทยเริ่มแพงเมื่อเทียบกับภูมิภาค และมีโอกาสพักฐานในระยะสั้น แต่มองเป็นจังหวะสะสมเพิ่มรับเงินทุนต่างชาติไหลเข้าในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า พร้อมเปิด 3 เปิดวิธีเลือกหุ้นเด่นน่าลงทุน

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัดเปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแบบ “พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ” เพราะได้รับปัจจัยบวกสองประเด็นคือ นายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตามที่ประเมินไว้ ซึ่งนโยบายของไบเดนคาดจะเป็นผลดีต่อการค้า รวมถึงเศรษฐกิจโลก และความคืบหน้าของวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ใกล้ความจริงมากขึ้น ซึ่งผลการทดลองมีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้สูงกว่า 90% โดยหากการคิดค้นวัคซีนสำเร็จจะทำให้การส่งออกและการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว และไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว 

“จากสองปัจจัยข้างต้นหนุนให้กระแสเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าไทย และนักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิเป็นครั้งแรกในรอบ 16 เดือน ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยวิ่งขึ้น 4 สัปดาห์ติดต่อกันตลอดทั้งเดือนพ.ย. และดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นกว่า 200 จุด ทะลุระดับ 1,400 จุดไปได้ ซึ่งดัชนีดังกล่าวดีกว่าที่ บล.ทิสโก้ประเมินไว้ว่าดัชนีสิ้นปีจะอยู่ที่ 1,370 จุด”

ทั้งนี้ มองว่าในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นอีก โดยคาดว่านักลงทุนต่างชาติมีโอกาสซื้อสุทธิอีก 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจากการศึกษาความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยและทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติพบว่า เม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้า และไหลออกทุก ๆ 10,000 ล้านบาท จะมีผลให้ดัชนีหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงขึ้น หรือลงประมาณ 29 จุด เพราะฉะนั้นหากเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตามที่ประเมินไว้ มีโอกาสจะได้เห็นดัชนีที่ระดับ 1,520-1,540 จุด ในช่วงเวลา 2-3 เดือนข้างหน้า 

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นไทยยังได้อานิสงส์จากแนวโน้มกระแสเงินทุนไหลเข้า แต่ระหว่างทางมีโอกาสสูงที่จะเกิดการพักฐานในระยะสั้น เนื่องจากดัชนีหุ้นไทย ณ ปัจจุบันที่ขึ้นมาอยู่ที่บริเวณ 1,410 จุด ส่งผลให้ราคาหุ้นเริ่มแพงเมื่อเทียบกับภูมิภาคอีกครั้ง โดยปัจจุบันหุ้นไทยมีระดับ Fwd. PER ปี 21F สูงกว่า 18 เท่าขณะที่ Forward PER ของตลาดหุ้นภูมิภาคนี้ (MSCI Asia ex. JP) ที่อยู่ที่ 15.4 เท่า นอกจากนี้ ทางปัจจัยเทคนิคยังเกิดสัญญาณเชิงลบด้วย ทั้งภาวะ “Overbought” และ “Negative Divergence”  เพราะฉะนั้น จึงแนะนำนักลงทุนไม่ต้องรีบร้อนไล่ซื้อ แต่ควรรอให้ตลาดปรับฐานลงมาก่อน  และต้องเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัวมากขึ้น

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในเดือน ธ.ค. นี้ นอกจากจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่แล้ว ควรเลือกหุ้นที่มีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ 1. “Underperform” โดยราคาหุ้นในปีนี้ต้องปรับตัวลงมามากกว่า SET Index ที่ปรับลง 10% และปัจจุบันยังขึ้นน้อยอยู่ 2. “Underowned” คือหุ้นที่ต่างชาติลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลงมากจากปีที่แล้วและปัจจุบันยังคงถือครองหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีนี้ 3. “Undervalued” หุ้นที่ราคาปัจจุบันยังมีโอกาสปรับขึ้นหากเทียบกับมูลค่าที่เหมาะสมที่ บล.ทิสโก้ประเมิน นอกจากนี้ ควรเป็นหุ้นที่คาดจะมีปัจจัยบวกสนับสนุนเฉพาะตัว เช่น BAM, BJC, CPN, SCC และ STEC และ/หรือ หุ้นที่มีการจ่ายปันผลดี เช่น KKP, RATCH และ TVO 

โดยสรุป หุ้นเด่นเดือน ธ.ค. คือ BAM, BJC, CPN, KKP, RATCH, SCC, STEC และ TVO สำหรับแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1,390-1,400, 1,365-1,370 และ 1,450, 1,480 จุด ตามลำดับ