นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคาร กสิกรไทยเปิดเผยว่า กรณี หุ้นกู้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) มองว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นกู้โดยรวม เพราะส่วนใหญ่จะออกในรูปแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบถึงผลกระทบจาก แผนฟื้นฟูกิจการ ที่ยังไม่มีความชัดเจน
ขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ คาดว่า จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 0.50% จากระดับปัจจุบันที่ 0.75% ซึ่งมองว่า จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นกู้ เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบัน นักลงทุนยังมองหาโอกาสในการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีมากกว่าการฝากเงิน แต่อาจจะกระทบต่อผู้ฝากเงิน จากอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับลดลง
ส่วนการออกตราสารหนี้ในตลาดแรก มูลค่าการออกใหม่ของ หุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชน ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ โดยลดลงถึง 41% จาก 310,000 ล้านบาท ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2562 มาอยู่ที่ 180,000 ล้านบาท เป็นผลจากผู้ออกหุ้นกู้หลายรายตัดสินใจเลื่อนหรือชะลอการออกหุ้นกู้จากเดิมที่วางแผนไว้ในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม เพื่อรอสภาพตลาดที่ดีขึ้น
รวมถึงบางรายหันไปใช้วงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์แทนในช่วงที่การออกหุ้นกู้มีความท้าทาย เนื่องจากความต้องการลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันที่ลดลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะจากผู้ลงทุนประเภท บลจ. ที่มีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น
ปัจจุบันความกังวลของผู้ลงทุนลดลงบ้าง ตามมาตรการจากรัฐบาลและธนาคารกลางที่ออกมาพร้อมๆกันทั่วโลก เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ทำให้เริ่มเห็นการกลับมาลงทุน แต่เฉพาะในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี หรือสำหรับตราสารหนี้ ต้องเป็นตราสารหนี้ที่เป็นรู้จักและมีอันดับความน่าเชื่อถือสูง อาทิ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นเราไม่ทิ้งกัน หุ้นกู้ของบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) และหุ้นกู้ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ซึ่งธนาคารกสิกรไทย ร่วมเป็นหนึ่งในผู้จัดการการจัดจำหน่ายตราสารหนี้เหล่านี้ กำหนดขายในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายนนี้ และคาดว่า ตราสารหนี้เหล่านี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนค่อนข้างดี
ทั้งนี้ แม้สถานการณ์โดยรวมปรับตัวดีขึ้นบ้าง และความต้องการลงทุนเริ่มกลับมาดีขึ้น แต่ต้นทุนของการออกหุ้นกู้นั้นไม่ได้ลดลงตาม แต่มาอยู่ในระดับที่เรียกว่า New Normal ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นและส่งผ่านมายังส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Credit Spread) ที่เพิ่มขึ้น 0.20–1.75 % เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 โดย Credit Spread ที่สูงขึ้นนั้นขึ้นกับรุ่นอายุ อันดับความน่าเชื่อถือ รวมถึงอุตสาหกรรมของผู้ออก ว่ามีโอกาสได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยหรือจากโควิด-19 มากน้อยเพียงใด
ขณะที่ ไตรมาส 1 ปี 2563 มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ของกองทุนรวมของไทยทั้งระบบ ลดลง 800,000 ล้านบาท หรือ 15.30% จาก 5.4 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 มาอยู่ที่ 4.6 ล้านล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับ NAV เมื่อ 4 ปีที่แล้วหรือเมื่อปี 2559 โดยในเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียว NAV ลดไปถึง 700,000 ล้านบาท เฉพาะกองทุนรวมตราสารหนี้มีเงินไหลออกสูงถึง 450,000 ล้านบาท ปัจจุบันแรงเทขายกองทุนชะลอลงแล้วและตลาดเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติมากขึ้น หลังจากที่ทางการทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นฝั่งรัฐบาลหรือธนาคารกลางที่ออกมาตรการทั้งทางการคลังและการเงินเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19
"การระบาดของโควิด-19 กระทบต่อตลาดการเงินในวงกว้าง แม้กระทั่งตลาดตราสารหนี้เองก็ได้รับผลกระทบในเชิงลบ จากการที่ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบถึง NAV ของกองทุน และทำให้ผู้ลงทุนหรือผู้ถือหน่วยลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ และเร่งขายหน่วยลงทุนอย่างหนักในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2563 ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ต้องรีบขายตราสารหนี้ที่ตนถือครองอยู่ในตลาดรอง และยอมขายในราคาต่ำ เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายมาคืนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ทั้งยังลดการลงทุนตราสารหนี้ออกใหม่เพื่อรักษาสภาพคล่อง ซึ่งทำให้ความต้องการลงทุนชะลอตัวไปด้วย"
นอกจากนี้ ในปี 2563 คาดว่า จะมีหุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชนออกใหม่ประมาณ 900,000 ล้านบาท ลดลงจากระดับเกินกว่า 1 ล้านล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2558 โดยสาเหตุหลักมาจากแผนการลงทุนของผู้ออกหุ้นกู้ที่เลื่อนหรือยกเลิกไป ทำให้การระดมทุนผ่านตราสารหนี้ชะลอออกไปด้วย ขณะที่ ผู้ออกหุ้นกู้ในบางอุตสาหกรรม อาทิ ภาคการท่องเที่ยว ภาคอสังหาริมทรัพย์ อาจยังไม่ได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุน