อย่าประมาท พลังประชาชน

10 ก.พ. 2564 | 04:17 น.

อย่าประมาท พลังประชาชน : คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3652 ระหว่างวันที่ 11-13 ก.พ.2564 โดย...ประพันธุ์ คูณมี

เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ระบาดระลอกสอง เริ่มคลี่คลายลง ประกอบกับความหวังที่คนไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนกำลังจะมาถึง และความเชื่อว่าวิกฤติโควิดอยู่ในภาวะโรคที่ควบคุมได้ ความต้องการการมีชีวิตที่ปกติของประชาชนย่อมต้องสูงขึ้นเป็นธรรมดา กิจกรรมทั้งหลายที่พวกเขาเคยปฏิบัติย่อมเป็นสิ่งที่มนุษย์ถวิลหา นี่คือความรู้สึกที่ดำรงอยู่โดยทั่วไปของประชาชน ซึ่งถูกกดทับไว้ด้วยคำสั่งรัฐเกี่ยวกับมาตรการรับมือโควิดที่รัฐบาลพึงคำนึง

ขณะเดียวกัน กระแสลมทางการเมืองก็เริ่มก่อตัวอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ตราบที่การเมืองไทยยังมิอาจหลอมรวมศรัทธาของคนในชาติให้เป็นหนึ่งเดียวได้ เมื่อผสมเข้ากับกระแสต่อต้านอำนาจเผด็จการของประเทศเมียนมา เพื่อนบ้านของไทยที่กำลังก่อตัวขึ้นสู่กระแสสูง จึงส่งผลสะเทือนให้ปัญหาการเมืองภายในประเทศ อาจย้อนกลับมาสร้างความหงุดหงิดวุ่นวายใจแก่ผู้ปกครองบ้านเมืองได้อีกครั้ง การห้ามนํ้าไม่ให้ไหลห้ามไฟมิให้มีควันไม่ได้ฉันใด การเมืองไทยก็จะวนเวียนกลับมาให้เห็นเช่นนี้ตลอดไป

ด้วยสถานการณ์โควิดที่ข้อมูลล่าสุด (8 กุมภาพันธ์ 2564) พบผู้ติดเชื้อ เพิ่มขึ้น 186 ราย พบในกรุงเทพฯ เพียง 3 ราย, ปทุมธานี 4 ราย, นครปฐม และเพชรบุรี แห่งละ 1 ราย นอกนั้นยังคงอยู่ที่สมุทรสาคร 132 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อในประเทศ ส่วนอีก 45 ราย เป็นผู้กลับจากต่างประเทศ และด้วยการตรวจคัดกรองเชิงรุก สถานการณ์โควิดรอบสอง ณ วันนี้ที่ทรงตัว อยู่ในภาวะที่รัฐบาลและหน่วยงานทางการแพทย์ สามารถบริหารจัดการควบคุมได้เช่นนี้ ความเรียกร้องต้องการของประชาชน ที่ต้องการกลับมามีชีวิตปกติยิ่งดังขึ้น เสียงเรียกร้องว่าเมื่อไหร่รัฐบาลจะผ่อนคลายให้ทำมาหากิน ประกอบอาชีพและดำเนินธุรกิจตามปกติเสียที ได้เกิดขึ้นก่อตัวเป็นกระแสอยู่ในหมู่ประชาชน เหมือนคลื่นใต้นํ้า

ปัญหาที่หนักและหมักหมมสะสม ที่ผู้คนต้องกล้ำกลืนอยู่กับความยากลำบาก กำลังมาถึงจุดที่ประชาชนสุดจะทนได้ ด้วยสาเหตุหนึ่งมาจากมาตรการของรัฐบาลที่สั่งห้ามผู้ประกอบการหลายประเภท มิให้ดำเนินกิจการได้ตามปกติเป็นเวลาต่อเนื่องร่วมสองเดือนเต็มๆ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเกี่ยวกับธุรกิจการท่องเที่ยว ภัตตาคาร โรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร ผับบาร์ คาราโอเกะ และกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องเปิด-ปิด ตามเวลาที่รัฐเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตประชาชนด้วยข้อห้ามสารพัด ห้ามมีการแสดงดนตรี ห้ามขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์  รวมถึงห้ามกิจกรรมจัดเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆ ส่งผลทำให้ภาวะเศรษฐกิจทั้งประเทศซบเซา กระทบกระเทือนต่อการจ้างงาน ส่งผลอย่างร้ายแรงต่อรายได้ปกติของประชาชน และผลประกอบการของธุรกิจระดับเล็ก กลาง ใหญ่ ต่างรับผลกรรมกันถ้วนหน้า รอวันล้มละลายเตรียมตัวเจ๊งไปตามๆ กัน พนักงานลูกจ้างตกงานขาดรายได้เลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว  

หากสภาวะเช่นนี้ยังดำรงต่อไปอีก ไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ คงได้เห็นคนไทยผูกคอตายเป็นรายวัน มีสถิติมากกว่าติดโควิดตายเป็นแน่ นี่คือเชื้อไฟทางการเมืองอย่างดี ที่รอเพียงมีคนเอาไฟมาจุดเท่านั้น ความอึดอัดคับข้องใจของประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจทั้งหลาย เป็นสถานการณ์ที่รัฐบาลมิควรประมาทหรือมองข้ามอย่างยิ่ง  หากยังไม่เร่งรีบพิจารณาแก้ไข หาทางผ่อนคลายและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็วและทันกาลแล้ว ปัญหานี้อาจถูกจุดประเด็นเป็นเรื่องการเมืองเพื่อขับไล่รัฐบาลได้

บรรยากาศของบ้านเมืองภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เหตุปัจจัยภายในประเทศกับเหตุการณ์ประเทศเพื่อนบ้าน กำลังประจวบเหมาะกันพอดี สอดรับกับการที่ฝ่ายค้านยื่นญัติติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งถ้าไม่มีเหตุขัดข้องทางเทคนิคใดๆ มาหยุดยั้ง การอภิปรายก็จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 กพ. 2564 ถ้าฝ่ายค้านมีข้อมูลความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลมาตีแผ่ให้มีน้ำหนักรับฟังได้ เชื้อไฟทางการเมืองอาจจุดติดได้ นี่จึงเป็นช่วงเวลาแห่งพายุทางการเมืองก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง

ประกาศเชิญชวนนัดชุมนุมของ ม็อบคณะราษฎร ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 17.00 น ที่บริเวณสกายวอล์ก หน้า MBK Center ด้วยการชูธง รวมพลคนไม่มีจะกิน ตีหม้อไล่เผด็จการ คราวนี้เห็นทีรัฐบาลต้องตั้งหลักรับมือให้ดี เพราะถ้าดูจากประเด็นที่ชูขึ้นมาเพื่อการชุมนุมครั้งนี้ หากผู้ชุมนุมตีกรอบยึดแนวทางตามนี้จริง โดยไม่แสดงออกด้วยความโง่เขลาทำลายมิตรและแนวร่วม ไปพูดโจมตีเรื่องสถาบัน หรือ ขอแก้กฎหมายมาตรา 112 แกว่งปากหาคุกด้วยการโจมตีสถาบันกษัตริย์ เรียกร้องปฏิรูปสถาบันแบบเดิมๆ จนเสียขบวนและถูกประชาชนต่อต้านอย่างรุนแรงอีก

ก็ถือว่าขบวนการเคลื่อนไหวของม็อบสามนิ้ว ได้รู้จักการสรุปบทเรียน ปรับขบวนการเคลื่อนไหวของตน ใช้ปัญญานำการเคลื่อนไหว มากกว่าใช้ปากสกปรกหยาบคาย หรือมวลชนถ่อยนำหน้า ซึ่งด้วยการปรับท่วงทำนองเสียใหม่ อาจมีมวลชนที่เดือดร้อนและผู้ที่รักศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย ไม่พอใจรัฐบาลเป็นทุนเดิมเข้าร่วมและให้การสนับสนุนเพิ่มขึ้น เพราะหากการเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นไปด้วยความสุจริตจริงใจต่อประเทศชาติและยึดมั่นในผลประโยชน์ของประชาชนโดยแท้จริงแล้ว เพียงแต่นำปัญหาความเดือดร้อนเกี่ยวเรื่องปากท้อง ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และปัญหาความไม่เป็นธรรมต่างๆ ที่ประชาชนได้รับจากกลไกการปกครองและระบอบรัฐราชการ หรือการใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้องของผู้มีอำนาจ

รวมถึงปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐบาล ที่ก่อความเสียหายร้ายแรงต่อบ้านเมืองมากล่าว โดยมีข้อมูลข้อเท็จจริงนำเสนอต่อประชาชน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของแผ่นดินแล้ว ก็คงทำให้การชุมนุมมีคุณภาพทางปัญญา ไม่สะเปะสะปะ ชุ่ยๆ เลอะเทอะเหมือนที่ผ่านมา เพียงแค่นี้รัฐนาวาของรัฐบาลลุงตู่ ก็อาจโคลงเคลงเซถลาลงได้ แต่ถ้าการชุมนุมยังดักดานเหมือนเดิม ก็เตรียมไปนอนคุกเดินขึ้นโรงพัก ศาล และเรือนจำเท่านั้นเอง การชุมนุมจะเป็นลมพายุการเมืองถล่มรัฐบาล หรือจะเป็นการต่ออายุให้ลุงตู่อยู่ครบเทอม อยู่ที่สติปัญญาของผู้ชุมนุม

การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน เป็นลมพายุการเมืองอีกลูกหนึ่ง แต่จะสามารถพัดพาให้รัฐนาวาของรัฐบาลลุงตู่ถึงกับอับปางลงหรือไม่ อยู่ที่การสรุปบทเรียนของฝ่ายค้าน ว่าจะเล่นการเมืองแบบตีฝีปาก ดีแต่สร้างวาทกรรม อภิปรายแบบไร้สาระ ขาดน้ำหนักให้เชื่อถือ ข้อมูลข้อเท็จจริงไม่มี เหมือนครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ ถ้ามาฟอร์มเดิมก็เท่ากับขุดหลุมฝังตัวเองอีกครั้ง ถ้าอภิปราย ดี ข้อมูลแน่น ประเด็นเด็ด เจาะลึกถึงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง เปิดโปงถึงการใช้อำนาจฉ้อฉลทุจริตและประพฤติมิชอบจริงตามที่กล่าวหา ก็เรียกศรัทธาความเชื่อถือจากประชาชนได้

นี่คือคลื่นลมกระแสทางการเมือง ที่รัฐบาลจะต้องเผชิญอย่างแน่นอน ในสมัยการประชุมสภาครั้งนี้ แต่นั่นยังมิใช่ลมพายุการเมืองที่น่ากลัวและอันตรายที่สุด สิ่งที่น่ากลัวและอันตรายที่สุด คือพลังของประชาชนที่อยู่ด้วยความจำทน ผู้ประกอบการธุรกิจทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ ที่จะหมดความอดทนกับมาตรการของรัฐที่กดทับพวกเขา หรือลูกจ้าง พนักงาน คนที่ไม่มีจะกินทั้งหลายต่างหาก ที่จะเป็นปัญหาอันตรายที่สุดสำหรับรัฐบาล ซึ่งต้องวัดอุณหภูมิจับกระแสความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่เหล่านั้นให้ดี  

พวกเขากำลังจะหมดความอดทนกับรัฐบาลเต็มทนแล้ว อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องอยู่แบบจำทนอีกต่อไป หากคนเหล่านั้นมิอาจทนต่อไปและลุกขึ้นมา ด้วยความเชื่อว่ารัฐบาลไม่จริงใจกับพวกเขาเมื่อใด นั่นแหละคือลมพายุใหญ่ของการเมืองตัวจริง โปรดระวัง“อย่าประมาทพลังประชาชน”