ลุงตู่สกัด “ผีปอบโควิด” “ห้ามกินตับ” น้ำยา-เครื่องตรวจไวรัส

04 เม.ย. 2563 | 02:00 น.

คอลัมน์ทางออกนอกตำรา ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3563 ระหว่างวันที่ 5-8 เม.ย.63 โดย...บากบั่น บุญเลิศ

นับเป็นข่าวดีของประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ยันวงการแพทย์-สถานพยาบาล-ห้องแล็บ ที่กำลังโดนพิษการระบาดของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) โจมตีจนตั้งตัวกันแทบไม่ติด

   

เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานและผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีข้อสั่งการ “ให้ปลดล็อก” การนำเข้าเครื่องมือแพทย์-น้ำยา-เครื่องตรวจไวรัสโควิด ที่อื้ออึงกันว่า “มีกลุ่มมือดีกำลังกินคำโต” ในการพิจารณา “อนุมัติ-ไม่อนุมัติ” ให้นำเข้ามาใช้ตรวจโรคที่กำลังคุกคามชีวิตคนไทย

     

ข้อสั่งการของนายกฯลุงตู่ มีสาระดังนี้

1.ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำหนังสือรวบรวมมาตรการป้องกัน รักษา และบริหารการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

2. ให้กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ยกเว้นภาษีอากรนำเข้า หน้ากากอนามัย เครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์ชุดตรวจหาไวรัสโควิด-19 และยาเวชภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการใช้รักษาเชื้อไวรัสโควิด-19

3. ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งกระบวนการตรวจเพื่อรับรองมาตรฐาน ให้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาใช้เวลาอนุมัติภายใน 1 วัน และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ใช้เวลาดำเนินการภายใน 4 วัน  

4.ให้กระทรวงการคลังรวบรวมมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 

คำสั่ง 4 ข้อนี้ ได้ทำให้ปัญหาเครื่องมือแพทย์-เครื่องตรวจรักษาโรคไวรัสโควิด-น้ำยา-เครื่องช่วยหายใจ-เครื่องตรวจแบบฉุกเฉิน Rapit test ที่ร้องกันระงมมายาวนานร่วม 2 เดือน เงียบลงทันที และทำให้ชีวิตคนไทยที่ “รอดจากเจ็บป่วย-ตาย” หลายล้านคนทันที

 

เพราะในระยะเวลาแค่ 2 เดือนเศษ ปรากฏว่า “เจ้าโรคร้ายไวรัสโควิด-19” ได้ลากชีวิตของผู้คนให้ตกอยู่ในภาวะความสุ่มเสี่ยง ระหว่าง “ความเป็น-ความตาย” ในแทบทุกพื้นที่ทุกจังหวัด และแทบ “ทุกวัน” เพราะเครื่องมือแพทย์-ยา-เวชภัณฑ์-เครื่องตรวจโรคขาดแคลนอย่างมาก ไม่สามารถรับมือกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณได้

 

เวรกรรมของประเทศไทยเมื่อไวรัส “โควิด-19” ระบาดหนัก ดันมีเสียงร้องอื้ออึงว่า มีกลุ่มก้วนการเมือง “ทำตัวเป็นเหลือบ” อาศัยจังหวะชุลมุนมาตั้งทีมดักกิน “ค่าดำเนินการพิเศษ” จากการนำเข้าน้ำยา-ชุดตรวจไวรัส (PCR) กันสนุกสนาน ใครจ่ายมาก ใครพวกข้า ได้รับการอนุมัติ ใครไม่ใช่พวก ไม่ยอมจ่าย ไม่มีทางได้รับไฟเขียว

 

จำนวนเครื่องตรวจไวรัสโคโรนา ที่เรียกกันว่า PCR-Polymerase Chain Reaction ซึ่งเป็นกระบวนการในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ (DNA) เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อโรคจากพันธุกรรม การกลายพันธุ์ของยีน ที่ต้องใช้น้ำยามาเป็นส่วนผสมที่ใช้ตรวจผู้ติดเชื้อจึงมีอยู่จำกัด

 

ผลที่ตามมาคือ การตรวจผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสของโรงพยาบาลทั้ง 50-60 แห่ง จึงทำได้แค่ระดับหลักพันหลักหมื่นคนเท่านั้น ทั้งๆ ที่แพทย์ นักระบาดวิทยา ต่างประเมินกันว่า มีคนไทยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นแสนคนเข้าไปแล้ว

 

แต่เชื่อหรือไม่ว่า บริษัทเอกชนผู้ที่ขอใบอนุญาตนำเข้า มีจำนวนนับนิ้วได้แค่ “โป้ง-ชี้-กลาง-นาง-ก้อย”

ส่วนเอกชนที่ได้ทำเรื่องขออนุมัตินำเข้าไปกว่า 30 บริษัท ล้วนแล้วแต่เข้าคิวรอไฟกระพริบ!...จากใครก็ไม่รู้ แต่ทรงอิทธิพลมาก!

 

ข้อสั่งการของนายกฯลุงตู่ จึงถือเป็นการ “ดับทางหากิน” ของ “ผีปอบ” หลายตัวที่หากินกับชีวิตคน และเป็นทางรอดของคนไทยทั้งประเทศ แม้จะมาช้า แต่มาแล้ว และเป็นการดับแผน “ทำเงิน” ของใครหลายคนได้สนิท

 

แถมทำให้แผนยุทธศาสตร์การการจัดซื้อเร่งด่วนให้สถานพยาบาลในระดับชุมชนราว 5,000 แห่ง ที่ใครบางคนกำลังจัดทำ Agenda Setting” เป็นอันพับลงไป

 

 เป็นการพับไปของ “เงินก้อนโต” ในระบบธุรกิจนำเข้าเครื่องเมือแพทย์-ยา-เครื่องตรวจไวรัสที่เรียกกันว่า PCR-Rapit Test ที่จะมีการวางแผนซื้อ 5,000 เครื่อง ซึ่งว่ากันว่า จะมีการจ่ายกันเครื่องละ 100,000-200,000 บาท เงินไม่มากครับ 500-1,000 ล้านกิโล

 

อันนี้ไม่นับน้ำยาที่จะเป็นเวชภัณฑ์สิ้นเปลือง ยิ่งตรวจมาก ยิ่งใช้มาก ซึ่งน้ำยานี้มีต้นทุนจริงในการตรวจครั้งละ 200-300 บาท แต่ราคาตอนนี้ทะลุไป 400 บาท เพราะของขาดตลาด ถ้าคนเป็นล้านคนเข้ามาตรวจเชื้อไวรัสโควิดหมายถึงเงินในธุรกิจน้ำยาจะตก 200-400 ล้านบาท ถ้าตรวจกัน 2 ล้านคน หมายถึง 400-800 ล้านบาท ถ้าตรวจ 3 ล้านคนหมายถึง 600-1,200 ล้านบาท...อัยหยาละก๊ะ!

การสับสวิตช์การใช้ดุลพินิจในการอนุญาตของนายกฯลุงตู่ คนไทยจึงเห็นหน่วยงานของรัฐซึ่งก็คือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศเรื่อง การอำนวยความสะดวกในการอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่ใช้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นกรณีพิเศษ ดังนี้

 

1. ผลิตภัณฑ์ยา หากเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ป้องกันหรือบำบัดโรค สภากาชาดไทย องค์การเภสัชกรรม ที่ต้องการนำเข้ายาแผนปัจจุบันที่จำเป็นต้องใช้ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 13(5) แห่งพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 แต่ให้ยื่นขอนำเข้าพร้อมเอกสารหลักฐานต่อด่านอาหารและยาตามท่าเรือ  อย.จะพิจารณาให้ทันที

 

 2.ผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ หากมีการนำเข้าหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (Surgical Mask) หน้ากาก N95ชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment, PP) หรือเครื่องหรืออุปกรณ์วัดไข้โดยหน่วยงานของรัฐเพื่อป้องกันชันสูตรบำบัดโรคหรือฟื้นฟูสมรรถภาพ หรือสภากาชาดไทย หรือเพื่อนำมาบริจาค ให้ยื่นขอนำเข้าต่อด่านอาหารและยาได้ โดยจะพิจารณาให้ทันทีใน 1 ชั่วโมง

 

3.กรณีนำเข้าเพื่อขายผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์  หากผู้ขอใบอนุญาตมีใบจดทะเบียนสถานประกอบการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ สามารถยื่นขอเรื่องได้ทันที อย.จะใช้เวลาในการพิจารณาแค่ 1 ชั่วโมง

 

กรณีไม่มีใบจดทะเบียนสถานประกอบการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ ให้ยื่นขอจดทะเบียนสถานประกอบการนำเข้า พร้อมยื่นขอนำเข้าต่อ อย. ซึ่งจะใช้เวลาในการพิจารณาอนุมัติให้ใน 1 วัน

 

กรณีนำเข้าชุดตรวจการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หากเป็นหน่วยงานรัฐ หรือสภากาชาดไทย สามารถยื่นเรื่องได้ที่หน้าด่านได้ทันทีใน 1 ชั่วโมง

 

กรณีนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์เพื่อขาย หากเอกชนรายใดมีใบจดทะเบียนสถานประกอบการนำเข้าเครื่องมือแพทย์แล้ว ให้ยื่นเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อ อย. และยื่นประเมินชุดตรวจฯ ต่อกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หากผ่านการประเมินแล้วสามารถแจ้งขอนำเข้าที่ด่านอาหารและยาได้ทันที อย.จะใช้เวลาพิจารณาแค่ 1 ชั่วโมง

 

กรณีไม่มีใบจดทะเบียนสถานประกอบการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ ให้ยื่นขอจดทะเบียนสถานประกอบการนำเข้าพร้อมยื่นขอนำเข้าและเอกสารหลักฐานต่อ “อย.” และยื่นประเมินชุดตรวจฯ ต่อกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หากผ่านการประเมินสามารถขอนำเข้าที่ด่านอาหารและยาได้ใน 1 วัน

 

นี่คือการผ่าตัดการทำงานแบบ “ฉุกเฉินในภาวะวิกฤต” ที่ควรจะนำมาใช้ตั้งนานแล้ว แต่กลับปล่อยให้หน่วยงานรัฐใช้อำนาจพิเศษในการพิจารณา และดึง-ดองเรื่องสารพัด เช่นให้ส่งเอกสารจิปาถะ กว่าจะอนุมัติต้องใช้เวลา 1-2 เดือน บางรายเป็นปี

 

 นี่จึงเป็นโอกาสที่ทำให้ค่าตรวจโรคไวรัสโควิดแพงทะลุไป 6,500 บาท เฉพาะปรอทดิจิทัลราคาพุ่งจาก 300-500 บาท ทะลุไป 4,000-6,000 บาท

 

คำสั่งผ่าทางตันของนายกฯลุงตู่สุดยอด!