ในที่สุดการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน PPP net costระยะเวลา 50 ปี โครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่าการลงทุน 2.9 แสนล้านบาท บนพื้นที่ 6,500 ไร่ ของกองทัพเรือ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 โครงการหลักของการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เรือธงของรัฐบาล ก็เห็นแววชัดแล้วว่ากำลังจะตกอยู่ภายในมือ 3 ตระกูลมหาเศรษฐี คือ ปราสาททองโอสถ-กาญจนพาสน์-ชาญวีรกูล
จ่ายผลตอบแทนทะลุแสนล.
หลังจากการเปิดซองข้อเสนอราคาของคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2562 ระหว่าง เอกชน 2 กลุ่มที่ผ่านคุณสมบัติด้านเทคนิคคือ “กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส” ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัทการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ,บริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)และบริษัทซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) กับ “กลุ่มแกรนด์ คอนซอร์เตียม” ที่เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทแกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน), ไทยแอร์เอเชีย และบริษัทคริสเตียนีและนีลเส็น(ไทย)จำกัด (มหาชน)
โดยพบว่ากลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส เสนอผลตอบแทนให้รัฐทะลุหลักแสนล้านบาท ห่างจากการเสนอราคาของกลุ่มแกรนด์ คอนซอเตียม มากโข แม้ว่า แกรนด์ คอนซอเตียม จะเสนอค่าตอบแทนสูงเกินกว่าที่รัฐคาดหวังว่าจะได้ราว 5.9 หมื่นล้านบาทไปมากแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ตามแม้ว่ากลุ่มกิจการร่วมค้า “บีบีเอส” จะเสนอค่าตอบแทนสูงสุด แต่คณะกรรมการคัดเลือกฯ ก็ยังไม่ประกาศรายชื่อผู้ชนะและยังไม่เปิดเผยราคาค่าตอบแทนที่ทั้ง 2 กลุ่มบริษัทเสนอมา เนื่องจากต้องพิจารณาตรวจสอบถึงที่มา-ที่ไปของการเสนอราคาตาม ไฟแนนซ์เชียล โมเดล ของกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ก่อนว่าจะดำเนินการตามแผนได้หรือไม่ และสามารถจ่ายผลตอบแทนให้รัฐตามราคาที่เสนอมาได้จริง
จากนั้นถึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการเรียกผู้เสนอราคาสูงสุดมาเจรจาสัญญา และเสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยคาดว่ากระบวนการคัดเลือกจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จ ภายในเดือนพฤศจิกายน 2562 และคาดว่าจะลงนามในสัญญาร่วมลงทุนได้ ภายในเดือนมกราคม 2563
ไฮสปรีดดันค่าตอบแทนพุ่ง2เท่า
ทั้งนี้การที่กลุ่ม “บีบีเอส” ยื่นค่าตอบแทนทะลุแสนล้านบาท เกินคาดความหวังของรัฐไปไม่ต่ำกว่า 2 เท่า แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะปักธงในโครงการนี้ให้ได้ ซึ่งมองได้ 2 นัยยะ นัยยะแรก คือ “บีทีเอส” ต้องการช่วงชิงกับ “ซีพี” ที่ต่างก็ต้องการโครงการนี้ เพื่อต้องการต่อจิ๊กซอร์ในการสร้างรายได้ของทั้ง รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) กับรายได้จากธุรกิจสนามบิน เพื่อหวังมานำรายได้มาถัวกันกับการลงทุนที่จะเกิดขึ้น เพราะธุรกิจสนามบิน ดูจะมีทิศทางที่ทำกำไรได้มากกว่าไฮสปรีดเทรน
แต่ “กลุ่มซีพี” มาตกม้าตายในโครงการประมูลอู่ตะเภา จากการถูกตัดสิทธิจากคณะกรรมการคัดเลือกฯ ที่มีมติไม่รับข้อเสนอด้านเทคนิคและแผนธุรกิจ(ซอง2) กล่องที่ 6 และ ข้อเสนอด้านราคา (ซอง3) กล่องที่ 9 ซึ่งเป็นกล่องที่กลุ่มกิจการค้าร่วมบริษัทธนโฮลดิ้ง จำกัด (ที่มีนายธนินท์ เจียรวนนท์และเครือญาติเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่)และพันธมิตร เนื่องจากเป็นเอกสารในส่วนที่ยื่นเกินเวลาที่กำหนดไว้ไป 9 นาที จากปัญหารถติด แถมเป็นเอกสารสำคัญ ก็เลยทำให้ซีพี ต้องสอบตกไปตั้งแต่การเปิดซอง2 อู่ตะเภาไปโดยปริยาย
ดังนั้นงานนี้ซีพี คงเหลือความหวังเดียวที่ฝากไว้กับศาลปกครองสูงสุดว่าจะมีคำพิพากษาอย่างไร ซึ่งหากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งหรือคำพิพากษาถึงที่สุดเป็นประการใด คณะกรรมการคัดเลือกฯ พร้อมปฏิบัติตามคำสั่งศาลและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
นัยยะที่สอง คือ เป็นการช่วงชิงโอกาสระหว่างบริษัทการบินกรุงเทพฯ(BA)และไทยแอร์เอเชีย ที่ต่างมองโอกาสในการสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจสนามบิน เนื่องจากธุรกิจการบินจากการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้ที่ผ่านมามาร์จิ้นต่ำ สายการบินประสบปัญหาการขาดทุนปักโกรก กำไรหดถ้วนหน้า นี่เองจึงทำให้ทั้ง 2 สายการบินมองที่ก้าวเข้าสู่ธุรกิจใหม่นี้
ในแง่ของบางกอกแอร์เวย์ส ก็มั่นใจเต็มที่ในการทำกำไรจากธุรกิจสนามบิน เพราะปัจจุบัน BA ก็ทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสนามบินอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ครัวการบิน บริการภาคพื้น ดิวตี้ฟรีในนามมอร์แดนฟรี ซึ่งก็ทำรายได้สูงกว่าธุรกิจสายการบิน ดังนั้นเมื่อรัฐเปิดPPPสนามบินอู่ตะเภา BA จึงเป็นแกนนำหลักควงบีทีเอสมาประมูล
ขณะที่ไทยแอร์เอเชีย ก็ต้องการสนามบินอู่ตะเภาเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาก็เข้าไปปักหลักทำการบินในสนามบินแห่งนี้มานับจากรัฐบาลประกาศการให้บริการของสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบมาตั้งแต่ปี 2558 จนปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ1 สำหรับฮับบินที่สนามบินอู่ตะเภา และยิ่งสนามบินดอนเมืองสล็อตบินเต็มเอียดแบบนี้
สนามบินอู่ตะเภาก็เป็นฮับบินใหม่ที่รองรับการเติบโตของธุรกิจได้ ตามอัตราการขยายตัวของการใช้บริการทั้งผู้โดยสารและสินค้าที่เพิ่มขึ้น จากการเติบโตของการท่องเที่ยวและนโยบายการผลักดัน10อุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่อีอีซี จึงได้เข้ามาร่วมประมูลกับทางแกรนด์ แอสเสท
จากความต้องการปักหมุดของบิ๊กธุรกิจรถไฟฟ้าและสายการบิน ที่ต่างมองเห็นโอกาสจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ ที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา จึงเป็นแรงขับเคลื่อนในการเสนอราคา ที่สูงกว่ารัฐคาดหวังไว้มากนั่นเอง
ดึงนาริตะบริหารอู่ตะเภา
สำหรับทิศทางการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาที่จะเกิดขึ้น โครงการนี้รัฐลงทุนงานโยธา ,รันเวย์ที่ 2หอบังคับการบินหลังที่ 2 วงเงิน2 หมื่นล้านบาท ส่วนกลุ่มบีบีเอส ลงทุนราว 2.7 แสนล้านบาท ในการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 3 , ศูนย์การขนส่งภาคพื้นดิน (Ground Transportation Centre: GTC) เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการจราจรสำหรับการให้บริการขนส่งสาธารณะไปสู่สนามบิน,ศูนย์ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์(Cargo Complex),พื้นที่เขตประกอบการค้าเสรีและเขตธุรกิจเกี่ยวเนื่องในสนามบิน(Cargo Village or Free Trade Zone: FTZ) และศูนย์ธุรกิจการค้า (Commercial Gateway)
ทั้งนี้ในส่วนของอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 จะต้องเปิดให้บริการเฟสแรกในปี 2567 ในการรองรับผู้โดยสารได้ไม่น้อยกว่า 12 ล้านคน ก่อนจะขยายเต็มเฟสรองรับที่ 60 ล้านคน ซึ่งการรองรับเฟสแรก น่าจะสอดรับการเติบโตของผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งในปีที่ผ่านมาสนามบินอู่ตะเภามีผู้โดยสารใช้บริการ 1.99 ล้านคน เพิ่มจากปี2558 ที่อยู่ที่1.77 แสนคน สำหรับผู้บริหารสนามบิน ทางกลุ่มบีบีเอส ได้เสนอ“กลุ่มผู้บริหารสนามบินนาริตะ” มาบริหารสนามบินอู่ตะเภา โดยกลุ่มดังกล่าวนอกจากบริหารสนามบินนาริตะแล้ว ยังบริหารอีกหลายสนามบินในญี่ปุ่นด้วย
นี่คือความเคลื่อนไหวของทุนใหญ่กับการชิงโอกาสเปิดแนวรุกธุรกิจใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น !!
รายงานโดย : ธนวรรณ วินัยเสถียร