หนี้ครัวเรือน ฉุดการฟื้นตัวเศรษฐกิจ 

28 มี.ค. 2564 | 18:25 น.

ข่าวเศรษฐกิจ อัพเดทข่าววันนี้ ราคาทอง น้ำมัน ข่าวตลาดหุ้น การเงิน ธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ การตลาด เจาะลึกแบบตรงประเด็น | ฐานเศรษฐกิจ

 

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่เพียงกระทบต่อสุขภาพของคนไทยเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางการเงินของคนไทยอีกด้วย เพราะมาตรการควบคุมการระบาดของโรค ทำให้ครัวเรือนสูญเสียรายได้จากการลดวันทำงาน ลดเงินเดือน หรือกระทั่งเลิกจ้างงาน ขณะที่รายจ่ายหรือหนี้สิน ยังคงมีอยู่เท่าเดิม ทำให้ภาคครัวเรือนมีภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น

ปี 2563 ตลาดแรงงานได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างหนัก ทำให้อัตราการว่างงานอยู่ในระดับสูงที่ 1.69% เพิ่มจากปี 2562 ที่ 0.98% และชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ยลดลง โดยชั่วโมงการทำงานภาคเอกชนอยู่ที่ 43.2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลงจาก 45.8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือลดลง 5.7% ขณะที่แรงงานที่ทำงานล่วงเวลา (ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) มีจำนวนลดลง 17.1% ซึ่งส่วนหนึ่งทำให้แรงงานมีรายได้ลดลงและอาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ

ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นความเปราะบางและความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ที่ยังอยู่ในภาวะความไม่แน่นอนสูง โดยตัวเลขล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า หนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาส 3 ปี 2563 มียอดคงค้างถึง 13.77 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8 แสนล้านบาท จากไตรมาส 4 ปี 2562 ที่มียอดรวม 13.49 ล้านล้านบาท หรือหากคิดเป็นสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) สูงถึง 86.6% เพิ่มขึ้นจาก 79.9%ต่อจีดีพี ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2562

แม้ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นมาก มาจากการหดตัวของเศรษฐกิจที่เป็นผลกระทบของโควิด-19 โดยเฉพาะไตรมาส 2 ที่เศรษฐกิจไทยหดตัวถึง 12% ซึ่งถือว่า เป็นระดับตํ่าสุดของวิกฤติครั้งนี้ จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยสูงเกือบ 40 ล้านคนหายไป ขณะที่รายได้จากภาคการท่องเที่ยวสูงเกือบ 12% ของจีดีพีไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า หนี้ครัวเรือนของไทยที่สูงถึง 86.6% ต่อจีดีพีนั้น เป็นสถิติสูงสุดในรอบ 18 ปี และยังมีสัญญาณการเร่งตัวขึ้นของการก่อหนี้ก้อนใหม่ โดยเฉพาะหนี้เพื่อที่อยู่อาศัย รวมถึงหนี้ก้อนใหญ่ อย่างหนี้เพื่อการประกอบอาชีพและหนี้เช่าซื้อรถยนต์ และหนี้เพื่ออุปโภคบริโภค เช่น บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล จึงมีความเป็นไปได้ที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทย จะขยับขึ้นไปยืนเหนือระดับ 90% ต่อจีดีพีในช่วงสิ้นปี 2563 และมีโอกาสเร่งขึ้นต่อในปี 2564 โดยอาจเพิ่มขึ้นมาที่ 91.0% ต่อจีดีพี หรืออาจสูงกว่านั้น หากเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากโควิดมากกว่าที่ประเมินไว้

ล่าสุดศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังออกมาเปิดเผยผลสำรวจความเห็นครัวเรือนจาก 300 ตัวอย่างในช่วงต้นเดือนมีนาคมพบว่า ส่วนใหญ่มีรายได้ลดลง 56.2% โดยกลุ่มที่รายได้ลด ยังคงมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 70% ซึ่งเป็นประเด็นค่าครองชีพ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) มากกว่า 50% ของรายได้ต่อเดือน ซึ่งมีประมาณ 10.8% ของกลุ่มตัวอย่าง จึงมีความเสี่ยงต่อวิกฤติด้านสถานะทางการเงิน

 

หนี้ครัวเรือน ฉุดการฟื้นตัวเศรษฐกิจ 

ดังนั้นแนวโน้มหนี้ครัวเรือนปี 2564 ยังขยับขึ้นอีกเป็น 89.5%ต่อจีดีพี เพราะยังภาระหนี้ที่อยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือทางการเงินทั้งภาคธุรกิจ เอสเอ็มอี และบุคคลธรรมดาที่เดือดร้อนจากโควิด ซึ่งจากยอดหนี้ครัวเรือนคงค้างเกือบ 14 ล้านล้านบาทนั้น มีหนี้ที่ยังอยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือประมาณ 2.79 ล้านล้านบาท คิดเป็น 19.9% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่ประเทศไทยประเทศเดียว เนื่องจากประเทศอื่นก็อยู่ในสถานการณ์ที่หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ผลจากวิกฤติโควิด-19 ที่กระจายไปทั่วโลกและกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้างเช่นกัน แม้ว่าเศรษฐกิจแต่ละประเทศจะทยอยฟื้นตัว แต่ยังบนความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก เพราะยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพในการกระจายวัคซีน การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะทำได้เร็วเพียงใด และแม้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่า กำลังซื้อจะอยู่ในระดับเดิมหรือไม่ เพราะแต่ละประเทศต่างก็มีผลกระทบด้านรายได้ไม่ต่างจากไทย และปัญหาภัยแล้ง

นอกจากนั้นปัญหาขาดการออมของคนไทย ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้หนี้ครัวเรือนของไทยเพิ่มขึ้น โดยจากข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนในปี 2562 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ครัวเรือนไทยมีเงินออมตํ่าเฉลี่ยเพียง 133,256 บาทต่อครัวเรือน และยังเริ่มออมช้า ซึ่งจากการศึกษาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เองก็พบว่า โดยเฉลี่ยคนไทยเริ่มวางแผนการออมที่อายุ 42 ปี ขณะที่สหรัฐอเมริกาเริ่มวางแผนการออมตั้งแต่อายุ 30ปี และเมื่อพิจารณาการลงทุนของครัวเรือนไทย ยังพบว่า ในปี2562 ครัวเรือนที่ลงทุนคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2.2% ของครัวเรือนทั้งหมด อีกทั้งคนไทยยังมีการก่อหนี้ในระดับสูง

ดังนั้นมองไปข้างหน้า ภาระหนี้ครัวเรือน จึงเป็นโจทย์สำคัญ หลังผ่านวิกฤติโควิด-19 ส่วนหนึ่งเพื่อเตรียมตัวรองรับสังคมสูงวัยด้วย

 

นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 หน้า 8 ฉบับที่ 3,665 วันที่ 28 - 31 มีนาคม พ.ศ. 2564