ฝ่ายค้านยื่นศาลรธน.ยัน รัฐสภามีอำนาจแก้ไขรธน.

03 มี.ค. 2564 | 07:30 น.

พรรคฝ่ายค้าน ส่งความเห็น 7 หน้าต่อศาลรธน. ยัน รัฐสภามีอำนาจแก้ไข รธน.ได้ ชี้ ตรรกะ ”ไพบูลย์” อันตราย จะแก้ได้ต้องรัฐประหารอย่างเดียว วอน ศาลวินิจฉัยเป็นบวกลดปัญหาบ้านเมืองวุ่นวาย  

3 มีนาคม 2564 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ  นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชน   นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และนายธงชาติ รัตนวิชา พรรคประชาชาติ  เข้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอส่งบันทึกถ้อยคำและความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญประกอบการพิจารณาวินิจฉัยในคดีที่ประธานรัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

นายประเสริฐ กล่าวว่า ทางพรรคฝ่ายค้านเห็นว่าศาลฯ ได้มีการขอความเห็นจากนักวิชาการและผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้จำนวน 4 คน จึงเห็นว่าเพื่อเป็นการเปิดรับฟังความเห็นจากหลายฝ่าย จึงได้ขอส่งบันทึกถ้อยคำเป็นข้อมูลต่อศาลรวม 7 หน้า เพื่อยืนยันว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 156 (15) บัญญัติไว้ชัดเจนว่ารัฐสภามีอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และคิดว่าการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญจะทันต่อการที่สภาจะพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ในช่วงวันที่ 17-18 มี.ค.นี้

ทั้งยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ฝ่ายค้านยังไม่ได้มีการพูดคุยกันว่า หากการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ไม่สามารถเป็นไปได้จะทำอย่างไรเพราะเราคาดหวังไว้ว่า รัฐสภาน่าจะผ่านวาระ 3 ได้เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ ประชาชนเรียกร้อง รัฐสภาที่เป็นตัวแทนของประชาชนจะเห็นด้วยกับการผ่านวาระ 3

ด้านนายชัยธวัช  กล่าวว่า เราเห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่ควรมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ใช่ปัญหาเรื่องอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา รัฐธรรมนูญกำหนดชัดเจนว่าสภามีอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตราได้ โดยมีข้อจำกัดเพียงห้ามแก้ไขแล้วไปกระทบต่อระบอบการปกครองและรูปแบบของรัฐเท่านั้น ดังนั้น การแก้ไขโดยให้มีส.ส.ร. จึงอยู่ในกรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เช่นเดียวกับกระบวนการ ขั้นตอนก็ยังอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ จึงได้ให้ความเห็นในบันทึกที่ส่งศาลในวันนี้ว่า การเสนอแก้ไขในลักษณะที่กระทำอยู่สามารถทำได้ และเป็นอำนาจของรัฐสภา

ในอดีตตอนแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2534 ก็มีการทำในลักษณะนี้และนำไปสู่การตั้งส.ส.ร. มีรัฐธรรมนูญ 2540 จึงยืนยันในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านว่ารัฐสภามีอำนาจ ไม่เห็นว่าสิ่งที่ดำเนินการอยู่ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ

“ในญัตติที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน และสมาชิกวุฒิสภายื่น ไม่ได้พูดแค่อำนาจรัฐสภา แต่พูดแม้กระทั่งการจำกัดอำนาจของประชาชนที่จะออกเสียงลงประชามติ ว่าจะให้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่ อันนี้เป็นอันตรายมาก หมายความว่าถ้าญัตตินี้ศาลรัฐธรรมนูญเห็นด้วยกับความเห็นที่ไพบูลย์กับคณะยื่น จะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ในระบบรัฐสภาภายใต้กระบวนการประชาธิปไตยได้เลย จะแก้ไข จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อมีการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ มีรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่บัญญัติไว้ว่าจะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่านั้น”

แม้แต่การทำประชามติในญัตติของนายไพบูลย์ การจะถามประชาชนว่าเห็นด้วยกับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ก็ทำไม่ได้ เพราะจะเป็นการขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้มีบทบัญญัติให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ ซึ่งตรรกะแบบนี้อันตรายมาก

ด้านนายสงคราม กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้ห้ามไม่ให้แก้ไข หมวด 1 และ 2 เรายืนยันชัดเจนแล้วว่าจะไม่มีการแก้ไข จึงไม่ใช่เป็นการร่างใหม่ทั้งฉบับ และพรรคฝ่ายค้านยังไม่ได้มีการเตรียมแผน 2 กรณีที่ไม่สามารถตั้ง ส.ส.ร.ได้ เพราะมองว่าบรรยากาศในการประชุมกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นไปด้วยความราบรื่น

ตัวแทนทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ส.ว. ถ้อยทีถ้อยอาศัย ดูแล้วเหมือนมีความจริงใจในการแก้ไขอย่างที่บางพรรคการเมืองเคยหาเสียงไว้ และอย่างที่ นายกฯ บอกว่า จะมีการมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราก็คิดว่าบ้านเมืองจะไปได้ การปรองดองก็จะเกิดขึ้นถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับมีการยื่นศาลให้วินิจฉัยในเรื่องนี้ก็รู้สึกเสียใจเสียดาย ยังหวังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมองในทางบวก เพราะถ้ารัฐธรรมนูญแก้ไขไม่ได้บ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้เกี่ยวข้อง 4 ราย คือ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ และ นายอุดม รัฐอมฤต ยื่นหนังสือความเห็นต่อกรณีดังกล่าวก่อนที่ศาลฯ จะประชุมเพื่อพิจารณาในวันที่ 4 มี.ค.นี้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: