“จตุพร”จ่อ“ปิดฉากเสื้อแดง”ให้เหลือเพียงตำนาน นปช.

27 ธ.ค. 2563 | 12:45 น.

“จตุพร”จ่อปิดฉาก “เสื้อแดง” เตรียมเดินสายถกแกนนำ เสนอยุติ “นปช.”ให้เหลือเป็นตำนาน ย้ำเป็นคนเดิม จ่อดำเนินคดีกับนักเลงคีย์บอร์ด ปมใส่ร้ายไปอยู่กับเผด็จการ

วันนี้( 27 ธ.ค. 63) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์ส่งท้ายปี 2563 ว่า ปีนี้เป็นบรรยากาศส่งท้ายปีเก่าท่ามกลางเรื่องราวมากมาย และปีหน้าก็จะเป็นปีที่เรื่องราวจะมากกว่าปีนี้ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจสังคม การเมืองในทุกๆ ด้าน 


แต่การต่อสู้กับเผด็จการนั้นสู้ไปสู้มา กลายเป็นตนถูกผลักไปอยู่ร่วมกับเผด็จการ ซึ่งเป็นข้อหาที่มีความรุนแรงมากที่สุด โดยอ้างเรื่องเชียงใหม่ที่ไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ. ดังนั้นทุกเรื่องราวเมื่อมีการโจมตีใส่ร้าย ก็ลุกขึ้นต่อสู้ตามวิถีทางที่ต่อสู้มาตลอดชีวิต โดยเฉพาะเรื่องความถูกต้องและความดีงามทั้งหลาย


ที่ผ่านมาตนตั้งใจจะไม่ฟ้องร้องดำเนินคดีกับใคร แต่เมื่อปล่อยไว้ยิ่งได้ใจ กล่าวหาทุกเรื่องที่เป็นความเท็จ โดยเฉพาะเรื่องที่บอกว่าไปอยู่กับเผด็จการ ก็ต้องไปสู้กันในชั้นศาล เพราะคนเราหากจะชั่วไปอยู่กับเผด็จการ ก็คงไม่มาเสียคนเอาตอนแก่ ซึ่งวิถีชีวิตของตน จากเด็กวัดไปเป็นครูดอยที่ไม่มีเงินเดือนกว่า 3 ปี ออกมาเป็นผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ลงเวทีอย่างมือเปล่ากลับไปอยู่หอพักใช้ชีวิตเเบบเดิม 


และก่อนที่จะมาพรรคไทยรักไทย ตนก็ไปทำงานเกี่ยวกับภาคองค์กรประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติ เรื่องแรงงาน เหล่านี้ปรากฏเป็นข่าวสามารถย้อนกลับไปดูได้ ดังนั้นในระหว่างทางก็สู้กันมาตลอดทาง ไม่เคยอยากได้ใคร่ดี จนกระทั่งวันหนึ่งก็ลงมาสู่บนท้องถนนอย่างจริงจัง กันอีกรอบหลังจากการยึดอำนาจปี 2549 จากนปก.จนกระทั่งนปช. ตนไม่เคยคิดที่จะอยากเป็นประธานนปช.แม้แต่วันเดียว


ตอนนำนักศึกษาในเหตุการณ์พฤษภา 35 ตนก็เป็นผู้นำนักศึกษาในสถานการณ์ที่ประชาชนเขายกให้มานำและก็สู้จนวินาทีสุดท้าย เป็นจุดเปลี่ยนในเหตุการณ์ขณะนั้น  


เหตุการณ์คนเสื้อแดงตั้งแต่ปี 52-53 ที่มีความตายปรากฏ เราก็อยู่ชุดของคนที่รอด ซึ่งตนอภิปรายเสมอว่าเรามีหน้าที่คือ การทวงความยุติธรรมให้กับคนที่ตาย หากยังจำกันได้ว่าหลังเหตุการณ์ปี 53 กระแสคนเสื้อแดงและกระแสพรรคเพื่อไทยถึงจุดต่ำสุด เพราะถูกข้อหาเรื่องล้มล้างสถาบัน เรื่องเผาบ้านเผาเมืองและเรื่องก่อการร้าย หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรก หลังจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมก็มีความเข้าใจว่าตนต้องหลบหนี แต่ตนยืนยันและให้เหตุผลว่าหากตนหนีไปแล้วใครจะอยู่ในการทวงหาความยุติธรรมให้กับคนที่เสียชีวิต และระหว่างทางถูกฟ้องดำเนินคดีหลายสิบคดี ปัจจุบันคดีก็ไม่หมดและไม่เคยรอดแม้แต่คดีเดียว


แต่มีการไปอธิบายใส่ความ ใส่ร้ายว่า ออกมาจากคุกเเล้วจะรอด เพราะไปเจรจาตกลง ซึ่งตนติดคุกรวมกัน 4รอบ ประมาณ 19 เดือน อีกทั้งยังมีคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ทนายความไปยื่นคำร้องขอให้ศาลนับใหม่ ศาลชั้นตนยก ส่วนศาลอุทธรณ์ให้นับไป ขณะนี้รอระหว่างฎีกา  


นอกจากนี้ยังมี ศาลแพ่งอีก 2 คดี ซึ่งตนได้อธิบายคำพิพากษาที่ระบุว่า นายจตุพรพูดเหมือนกับที่นายทักษิณ ชินวัตรพูดว่าไม่มีลักษณะยุยงให้คนเผาบ้านเผาเมือง ยกฟ้องนายทักษิณ แต่ให้ลงโทษนายจตุพร เพราะเป็นประธาน นปช. ซึ่งขณะนั้นในปี 2553 ตนไม่ได้เป็นประธานนปช. ดังนั้นทั้ง 2 สำนวนเฉพาะดอกเบี้ยกว่า 100 ล้านบาท 


เรื่องเหล่านี้หลังออกจากคุกมาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นอยากถามว่าตนรอดอะไรสักเรื่องบ้าง รวมถึงคดีบ้านสี่เสาเทเวศร์ ในสำนวนที่ 2 หากใครได้ไปฟังคดีในสำนวนแรกทุกประโยคคล้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ทั้งนั้น ดังนั้นถามว่าตนไปแลกเปลี่ยนอะไรกัน
นายจตุพร กล่าวว่า ในคดีก่อการร้าย ซึ่งในศาลชั้นต้นยกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์รับฟ้อง และในขณะนั้น จำเลยในคดีนี้ 4 คนอยู่ระหว่างถูกคุมขัง คือ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นพ.เหวง โตจิราการ  นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท  และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ปรากฏว่าไม่ได้รับหมาย อุทธรณ์ที่อัยการอุทธรณ์มาทางศาล ดังนั้น เมื่อไม่ได้รับหมายจึงขยายอุทธรณ์ไม่ได้ และเมื่อไม่ได้อุทธรณ์ เท่ากับว่าอุทธรณ์ไม่ได้ ตนก็ยื่นคำขาดไปว่า หากทั้ง 4 คนไม่ได้รับการพิจารณาอุทธรณ์ ตนก็จะไม่ยื่นอุทธรณ์เช่นกัน เนื่องจากอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน ปล่อยให้ศาลตัดสินไปเลย


ดังนั้น สิ่งที่ตนอยากจะบอกในวันนี้ว่า เราพยายามประคับประคองทุกสถานการณ์ และตนก็เป็นนายจตุพรเหมือนเดิม ร้องเพลงเดิมทุกอย่าง เพียงแต่อายุมากขึ้น ก็ต้องลดคีย์ลงมาบ้าง แต่งเนื้อเพลงเหมือนเดิม 


ส่วนทิศทางของนปช.จะเป็นอย่างไรนั้น ตนจะเดินสายคุยกับแกนนำ แต่ส่วนตัวเห็นว่าควรจะยุติองค์กร นปช.ให้เป็นตำนาน

 

นายจตุพรยังย้ำในตอนท้ายอีกว่า ทุกอย่างที่สู้กันมานั้น ไม่มีอะไรติดยึด ทุกอย่างมันคือหัวโขน หากติดยึด มันต้องติดยึดกันมาตั้งแต่วัยเด็ก ไม่ใช่มาติดเอาตอนแก่