นํ้าดื่มวิตามิน 5,500 ล้านแข่งเดือด ขาใหญ่เปิดศึกชิงแชร์

12 พ.ย. 2563 | 10:35 น.

“นํ้าดื่มผสมวิตามิน” ทะยานสู่ฮีโร่โปรดักต์แห่งปี จับตาบิ๊กเนมพาเหรดชิงตลาด 5,500 ล้าน ทั้งอิชิตัน-สิงห์-เซ็ปเป้ หลังเติบโตก้าวกระโดด 300%  

"Vitamin Water” แม้จะไม่ใช่เซ็กเมนต์ใหม่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับโลกที่ได้รับความนิยมในประเทศแถบญี่ปุ่น อเมริกา ตั้งแต่ช่วง 10 ปีก่อน แต่ทว่าเพิ่งเข้ามาทำตลาดที่เมืองไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปจากผู้เล่นเพียงไม่กี่ราย แต่ทว่าการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี ผลักดันให้กระแสสุขภาพมาแรง ส่งผลทำให้ตลาดเติบโตแบบก้าวกระโดดเหนือความคาดหมาย ซึ่งเป็นผลพวงมาจากความเชื่อของผู้บริโภคที่ว่าวิตามินซีเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันโรคหวัด

 

หากนับเฉพาะช่วงเดือนที่ผ่านมา จะเห็นผู้เล่นทั้งหน้าใหม่และเก่าดาหน้าเข้ามาทำตลาดแล้วไม่ต่ำกว่า 4-5 ราย ไล่เรียงมาตั้งแต่ยักษ์ใหญ่อย่างกลุ่มรพ.ยันฮี ที่เปิดตัว ยันฮี วิตามิน วอเตอร์, แบรนด์วิตอะเดย์ วิตามินวอเตอร์ โดย บริษัท เจนเนอรัล เบฟเวอร์เรจ จำกัด, กลุ่มศรีนานาพร ที่เปิดตัว อควาวิทซ์ บาย เจเล่, อิชิตัน กรุ๊ป ที่ส่งน้องใหม่ในพอร์ต CHITAN Vitamin Water C Plus E ออกมารุกตลาด

 

ล่าสุด “สิงห์” ก็ส่งแบรนด์ “เพอร์ร่า” ร่วมวงแจมด้วยการเปิดตัว “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” จึงไม่แปลกอะไรหากตัวเลขการประเมินมูลค่าตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินจะพุ่งขึ้นเป็นกว่า 5,500 ล้านบาทในปี 2563 และเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 8,000 ล้านบาท ในปี 2564

 

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้จะมีผู้เล่นเข้ามามากแต่ว่าตลาดน้ำดื่มวิตามิน ยังไม่เป็นเรดโอเชี่ยนอย่างแน่นอน เพราะยังไม่ถึงเวลาสินค้าเครื่องดื่มวิตามินยังคงมีแนวการเติบโตอีกมาก เนื่องจากปัจจุบันเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นการทำตลาดในเมืองไทยเท่านั้น ซึ่งหากเปรียบเทียบกับกลุ่มธุรกิจชาเขียวที่เริ่มมีการอิ่มตัวก็ใช้ระยะเวลาในการกว่า 20 ปี

 

ซึ่งแน่นอนว่าสินค้าในกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพยังมีระยะเวลาอีกนานในเมืองไทย อาจจะอีกราว 3-5 ปีที่ตลาดจะมีการแข่งขันกันดุเดือดมากขึ้น ขณะที่เทรนด์สุขภาพก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมั่นใจว่าในปีหน้าจำนวนผู้เล่นในตลาดเครื่องดื่มวิตามินจะมีมากขึ้น แข่งขันกันรุนแรงขึ้น แต่เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วแบรนด์ที่อยู่ได้คือแบรนด์ที่แข็งแกร่งไม่เกิน 5 รายเท่านั้น

 

นอกจากนี้สถานการณ์โควิด 19 ก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันภาพรวมการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มวิตามินมีการเติบโตที่สวนทางกับกลุ่มเครื่องดื่มอื่นๆในตลาดที่ติดลบแทบทั้งสิ้น โดยประเมินว่าภาพรวมตลาดเครื่องดื่มวิตานิมนในสิ้นปีนี้จะมีการเติบโตที่ 200-300% ในขณะที่ปี 2564 คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดจะเติบโตได้มากกว่า 200-300% เพราะว่าผู้เล่นเข้ามาทำตลาดและสื่อสารการตลาดเชิงรุกมากยิ่งขึ้น

นํ้าดื่มวิตามิน 5,500 ล้านแข่งเดือด ขาใหญ่เปิดศึกชิงแชร์

ขณะที่ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต อยากมีสุขภาพที่ดี เทรนด์สุขภาพที่มาแรง ขณะที่การเข้ามาของโควิด ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักในการผลักดันตลาดให้เติบโต ไม่เพียงแต่เครื่องดื่มเท่านั้น หากแต่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ฟิตเนส จักรยาน ฯลฯ ก็มีการเติบโตที่พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย คนรุ่นใหม่ไม่ต้องการมีเงินอย่างเดียวแต่ต้องการมีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อสามารถท่องเที่ยวได้ตลอดเวลา

 

ด้านนายอเนก ลาภสุขสถิต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE กล่าวว่า ภาพรวมตลาดน้ำดื่มวิตามินของเมืองไทยช่วงที่ผ่านมาถูกขับเคลื่อนการเติบโตโดยโควิด -19 ที่ส่งผลต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป มีความต้องการเรื่องของสุขภาพ (เฮลตี้เทรนด์) เข้ามาในชีวิตประจำวันมากขึ้น หลังจากที่มีผู้เล่นเข้ามาทำตลาดบ้างใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่การเกิดเซ็กเมนต์ใหม่ขึ้นมาในตลาดน้ำดื่มถือว่าสร้างความแปลกใหม่ให้ผู้บริโภคที่สอดรับกับเทรนด์สุขภาพ จึงทำให้ตลาดดังกล่าวมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

“ในสถานการณ์ที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงสูงแบบนี้ยากที่จะประเมินตัวเลขการเติบโตที่แน่ชัด และภาพรวมตลาด แต่บอกได้ว่าตลาดรวมน้ำดื่มผสมวิตามินมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดแน่นอน ซึ่งตัวเลขหลังจากการระบาดของโควิด 19 การเติบโตของตลาดอยู่ที่ 70-80% ถือเป็นแนวโน้มการเติบโตที่ดีสอดคล้องกับเทรนด์สุขภาพ และมูลค่าตลาดรวมเพิ่มสูงขึ้นจากหลักร้อยล้านบาทเพิ่มเป็นหลักพันล้านบาทในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา”

 

ทั้งนี้ส่วนของทิศทางการดำเนินธุรกิจในปีหน้าจะยังคงโฟกัสสินค้าที่เป็นอินโนเวชั่น หรือกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ซึ่งซึ่งถือเป็นนโยบายหลักที่บริษัทขับเคลื่อนอยู่ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธ์เนื่องจากเทรนด์การดูแลสุขภาพยังคงมาแรงในไทย และบริษัทก็เป็นผู้นำในตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพมาโดยตลอด

 

“ไตรมาสสุดท้ายนี้บริษัทได้เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่เพื่อรองรับพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค หรือมากกว่า 20 รายการตลอดทั้งปี จากปีที่ผ่านมาที่มีสินค้าใหม่เฉลี่ย 20 รายการต่อปี และจะยังคงโฟกัสการทำตลาดในส่วนของแบรนด์เซ็ปเป้ บิวติดริ้ง และแบรนด์บลู ที่สร้างยอดขายหลักให้แก่บริษัทมากกว่า 50% โดยวางเป้าหมายทั้งปีน่าจะสามารถสร้างการเติบโตทรงตัว ซึ่งครึ่งปีหลังจะสร้างการเติบโตทดแทนในส่วนของครึ่งปีแรกที่ติดลบ 10% จากปัจจัยลบในช่วงต้นปี”

 

อย่างไรก็ตามเทรนด์เรื่องสุขภาพอยู่ในระยะยาวแน่นอน แต่ในเชิงความต้องการของสินค้าและพฤติกรรมผู้บริโภคก็มีการเปลี่ยนแปลงตามยุคแน่นอน ซึ่งตัวเลขการเติบโตดังกล่าวอาจจะไม่สูงเหมือนปัจจุบัน ซึ่งแน่นอนว่าอนาคตหรือในปีหน้ามีผู้เล่นมากขึ้น แข่งขันมากขึ้นการเติบโตก็จะอยู่ในอัตราที่ลดลง ซึ่งมองว่าตัวเลขในปีหน้ากน่าจะเห็นการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% หรืออยู่ในระดับที่สูงกว่าแคตธอกรี่อื่นอยู่

นํ้าดื่มวิตามิน 5,500 ล้านแข่งเดือด ขาใหญ่เปิดศึกชิงแชร์

ขณะที่นายธิติพร ธรรมาภิมุขกุล หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มการตลาดแบรนด์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ระบุว่า นโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังเดินหน้าขยายพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในเชิงรุก เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์สุขภาพ ล่าสุดจึงแตกไลน์ “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” น้ำผสมวิตามินและแร่ธาตุ เข้ารุกตลาดโดยเน้นเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพอายุระหว่าง 25-35 ปี เน้นสร้างการรับรู้ผ่านสื่อทั้งออฟไลน์และออนไลน์ 

 

หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,625 วันที่ 8 - 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563
 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘อิชิตัน’ กางแผนบุกเฮลตี้  ฟื้นยอดครึ่งปีหลัง ตั้งเป้าทะยาน 50%

โอสถสภา โหมพอร์ตสินค้าสุขภาพ รับ New Normal

‘คาราบาวกรุ๊ป’  เร่งสปีดชิงเบอร์ 1 ฟังก์ชันนัลดริงก์