การเมืองแห่งความจงเกลียดจงชัง

21 ส.ค. 2563 | 03:25 น.

นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง "การเมืองแห่งความจงเกลียดจงชัง" โดยมีเนื้อหา เป็นในเชิงถาม-ตอบ ดังนี้

ถาม    อาจารย์ไปปราศรัยที่ไหนว่า “ไอ้ษิณ-ไอ้ธร มีงจะล้มในหลวงหรือ? กูไม่กลัวมึงนะโว๊ย! ”

ตอบ    นั่นน่ะสิครับ ผมเองสงสัยอยู่เหมือนกัน...เห็นโพสต์แพร่กันไปในโซเชียลแล้ว ก็งงอยู่ว่ามาได้ยังไง  เดี๋ยวนี้ศิลปินดังคนไหนไม่ออกมาด่ารัฐบาล ก็จะถูกประณามว่าไม่รักประชาชน   แต่ตัวผมเองกลับโดนคนปลอมตัวมาด่าแทน เฉยเลย   


นี่ใจคอจะให้เป็นควายเลือกข้างเลือกสี แล้วขวิดกันทั้งบ้านทั้งเมืองเลยหรือ??  
 

ถาม    จริงๆแล้ว..อาจารย์ก็ไม่ชอบคุณทักษิณ ไม่ใช่หรือ?

ตอบ    ผมก็ยังไม่ชอบอยู่จนทุกวันนี้  แต่ไม่ถึงขนาดจงเกลียดจงชัง จนต้องหันไปเลือกไปหลงลุงตู่หรอกนะครับ
เมื่อครั้งที่เป็น คตส. ผมก็ทำงานตามพยานหลักฐาน   คุ้ยหาหลักฐานจนสิ้นกระแสความ  คดีไหนถ้าไม่พอฟ้องก็ต้องวางมือ ปล่อยเขาไป   
 

ถาม    แต่ใจคอก็ยังเป็น กปปส.มีสีเหลืองอยู่ในจิตวิญญาณ
ตอบ    กปปส. จบไปแล้วก็ให้มันจบไป  เราก็เหมือนชาวนาลุกขึ้นมาร่วมกับพระเจ้าตากไล่พม่าเสร็จศึกก็กลับมาทำนาก็แค่นั้น  จะเอาสีอะไรมาติดตัวอีกทำไม  

ถาม    ทุกวันนี้  เขาบ้าทาสีกันหมดแล้ว

ตอบ    มันคงไม่ใช่อาการบ้าหรอกครับ   แต่เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาการเมือง  ที่ผู้คนกลุ่มใหญ่ในบ้านเราพลัดตกลงไปในความจงเกลียดจงชังหมู่   จนวันนี้ก็ลามไปถึงนักเรียน  ที่อาการกำเริบจนออกมานอกโซเชียล ชู ๓ นิ้วกันไปทั่วแล้ว

คุณรู้ไหม...คนเรานี่ พอเกลียดใครแล้วต้องหาพวกมาช่วยกันเกลียดทุกทีไป

 

ถาม    มันเป็นยังไงครับ

ตอบ    นิสัยนินทาว่าร้าย  ก็มาจากธรรมชาติพื้นฐานนี้  ที่พอเกลียดใครไม่ชอบใครแล้ว เราจะเก็บไว้คนเดียวไม่ได้  ต้องเที่ยวไประบายให้ใครฟังมันถึงจะนอนหลับได้     ทุกมวลชนปฏิวัติเขาก็เลยหากินกับธรรมชาตินี้  ต้องหา ศักดินา นายทุน ขุนศึกจักรวรรดินิยม มาพรรณนาให้เลวร้ายปานปีศาจ  ทุกข์ร้อนเดือดร้อนอย่างไร ก็เหมาใส่มันได้หมด   

ทีนี้พอผู้คนเริ่มเกลียดร่วมกันแล้ว เขาก็จะผนึกแน่นเป็นมวลชนขึ้นเรื่อยๆ  พอแน่นขึ้นแล้วก็เกลียดได้มากขึ้นอีก พอเกลียดมากขึ้นแล้วก็ผนึกกันมากขึ้นอีก  เป็นพลวัตไปอย่างนี้  จนกลายเป็นมวลชนแห่งการต่อสู้ หมดตัวตนกลายเป็น “สหายแดง”  “สหายดำ”  ไปเลย

 

ถาม    มองอย่างนี้...ทุกวันนี้ นายกฯลุงตู่ กับ สว.แต่งตั้ง  ก็กำลังซวยถูกเชิดในโซเชียลให้เป็นปีศาจ ในสายตาเยาวชนทั่วประเทศไปแล้ว

ตอบ    ครับ...มันมีความไม่ชอบธรรมของการสืบทอดอำนาจ พูดจาขี้โมโห ถูกอยู่คนเดียวเป็นภาพใหญ่อยู่ก่อนแล้ว  จากนั้นฝ่ายจัดตั้ง เขาก็ค่อยใส่ไข่เติมลงไปในโซเชียล    จนกลายเป็นจอมปีศาจเผด็จการฤทธิ์มาก  ที่แม้กระทั่งครูบ้าอำนาจในโรงเรียน  ก็กลายเป็นบริวารของจอมปีศาจหลายอารมณ์นี้ไปได้

การเมืองแห่งความจงเกลียดจงชัง
 
ถาม    สรุปแล้ว ถ้ามีอะไรที่เราฝังใจไม่ชอบใจในทางการเมือง   ก็อาจถูกปลุกปั่นโดยชีวิตหมู่ให้กลายเป็นความจงเกลียดจงชังได้สิครับ    

ตอบ    ๒๐ ปีมานี้    การเมืองแห่งความจงเกลียดจงชังนี้  ทำงานมาหลายสี หลายรอบแล้วล่ะครับ

ถาม    “ความรัก ” เช่นความจงรักภักดีต่อในหลวง   ทำให้เกิดมวลชนได้ไหมครับ

ตอบ    ไม่ได้...ที่มาถวายบังคมพระบรมศพตากแดดตากฝนเต็มท้องสนามหลวงเป็นแสนนั้น  เป็นปัจเจกชนที่ต่างก็มาด้วยความรัก   ไม่ใช่ม๊อบ มาคนเดียวก็มาได้ ไม่ได้ลืมตัว หมดตัวเป็นมวลชนอะไรที่ไหน

 

ถาม    แต่ถ้าเกลียดโกรธพวกด่าในหลวงมากๆ  ก็ปลุกปั่นให้เป็นมวลชนแห่งความเกลียดชังสายหนึ่งได้เหมือนกัน

ตอบ    มีโอกาสเป็นเช่นนั้นได้ครับ   ถึงจุดนั้นเมื่อใดบ้านเมืองก็ชิบหายพอดี

 

ถาม    “พรุ่งนี้”จะมีอะไรเกิดขึ้น

ตอบ    มันเริ่มจาก “เมื่อวาน”  ที่ คสช.สร้างรัฐธรรมนูญและตั้งพรรคสืบทอดอำนาจแล้วล่ะครับ   เมื่อเริ่มอย่างนี้เขาจะปลุกจะปั่นอย่างไรมันก็ฟูขึ้นมาได้ทั้งนั้น   
“วันนี้ ”..วิกฤตเศรษฐกิจหลังโควิดมันมาของมันอยู่แล้ว เหมือนยอดสึนามิที่กำลังโถมขึ้นฝั่ง   ถ้าสมทบด้วยวิกฤตจากการเมืองแห่งความจงเกลียดจงชังนี้เมื่อใด เราจะไปไม่เป็นกันเลย

ท่ามกลางความร้อนระอุไม่เห็นความหวังอย่างนี้...อย่าเติมฟืนให้ไฟ โดยทะลึ่งให้อเมริกามาตั้งฐานขีปนาวุธเป็นอันขาด  ลุกฮือเต็มถนนแน่นอน!