สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นิตยสาร “เดอะ นิวยอร์กเกอร์” ของสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่บทความซึ่งระบุว่า "การเคารพวิทยาศาสตร์" และ "การทำงานอย่างหนัก" ซึ่งเป็นค่านิยมหลัก 2 ประการที่จีนให้ความสำคัญ ประกอบกับการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลจีน ทำให้ชาวจีนสามารถ เอาชนะในสงครามการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้
นายปีเตอร์ เฮสเลอร์ ซึ่งกำลังศึกษาและสอนหนังสืออยู่ที่นครเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเสฉวนทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนระหว่างที่เกิดการแพร่ระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 นั้น เป็นผู้เขียนบทความที่มีชื่อว่า "จีนควบคุมเชื้อไวรัสโคโรนาได้อย่างไร" เนื้อหาในบทความยืนยันความจริงที่ว่า การปิดเมืองที่เข้มงวด ประกอบกับการปิดชายแดน และการสืบหาผู้สัมผัสติดต่อกับผู้ป่วย ทำให้จีนสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในชุมชนเกือบทุกแห่งได้
เฮสเลอร์ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขหลายคนยอมรับในการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการในชุมชนในการป้องกันการแพร่ระบาด และการสืบหาตัวผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ อีกทั้งจีนยังดำเนินมาตรการปิดเมืองที่เคร่งครัดมากกว่าประเทศใดในโลก โดยมีคณะกรรมการในชุมชน ซึ่งเป็นองค์กรระดับรากฐานของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้บังคับใช้กฎข้อบังคับต่าง ๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จีนฟื้นฟูเศรษฐกิจสำเร็จประเทศแรกหลังโควิด-19
WHO เตรียมส่งผู้เชี่ยวชาญไปจีนเพื่อหาต้นตอโควิด-19 หลังจีนไฟเขียว
จีนประกาศคุมการระบาดของโควิด-19 ในกรุงปักกิ่งได้แล้ว
จีนสั่งปิดตลาดค้าส่งทั่วกรุงปักกิ่ง หลังพบเชื้อโควิดบนเขียงแล่ปลา
บทความชิ้นนี้ระบุว่า สหรัฐอเมริกาไม่มีโครงสร้างของคณะกรรมการในชุมชนเช่นนี้ แต่หน่วยงานบริการสาธารณสุขก็อาจปฏิบัติหน้าที่ในส่วนนี้ได้ หากระบบนี้ของสหรัฐได้รับเงินสนับสนุนอย่างเหมาะสม
เฮสเลอร์ยังเขียนถึงสารพัด มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลังจีนเปิดโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ให้มีการเรียนการสอนในชั้นเรียนอีกครั้ง โดยมหาวิทยาลัยจัดตั้งซุ้มตรวจอุณหภูมิ มีการใช้งานหุ่นยนต์ส่งของ และเครื่องสแกนที่ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า
ส่วนระดับโรงเรียนก็มีการจัดช่วงพักล้างมือเป็นประจำ พร้อมประกาศผ่านระบบอินเตอร์คอมว่า "ได้ถึงเวลาตรวจวัดอุณหภูมิแล้ว" ในช่วงบ่ายของทุก ๆวัน
บทความชิ้นนี้ระบุว่า ความล้มเหลวของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันไม่ได้เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงอุปนิสัยหรือค่านิยมของประชาชนในประเทศ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงระบบที่ล่มสลายซึ่งก็คือวิกฤตของภาวะผู้นำ และโครงสร้างทางสถาบันนั่นเอง
ข้อมูลอ้างอิง