พีระพันธ์ โพสต์บทความ ยุติธรรมค้ำจุนชาติ ตอน“ความเร็วกับความผิด”

01 ส.ค. 2563 | 06:32 น.

ข่าวเศรษฐกิจ อัพเดทข่าววันนี้ ราคาทอง น้ำมัน ข่าวตลาดหุ้น การเงิน ธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ การตลาด เจาะลึกแบบตรงประเด็น | ฐานเศรษฐกิจ

นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค

 

นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตผู้พิพากษาและข้าราชการตุลาการและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เผยแพร่บทความเรื่อง 'ยุติธรรมค้ำจุนชาติ' ตอน : ความเร็ว กับ ความผิด ผ่านเฟซบุ๊กระบุข้อความว่า.

             

 คำว่า “ยุติธรรมค้ำจุนชาติ”มาจากประสบการณ์และความคิดของผมที่เห็นว่าความไม่ยุติธรรมหรือความไม่เป็นธรรมจะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในชาติบ้านเมืองได้ ยิ่งหากประชาชนรู้สึกถึงความรู้สึกเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เท่าใด ความมั่นคงเป็นปกติสุขของสังคมและของชาติก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
             

ความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐ ความคับแค้นใจที่ถูกเลือกปฏิบัติบังคับใช้กฎหมายโดยไม่เป็นธรรมและไม่สุจริตเป็นต้นตอของหลายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์
           

ในฐานะนักกฎหมายที่มีประสบการณ์ทำงานมาแล้วในหลายภารกิจหน้าที่ ทั้งตุลาการ นิติบัญญัติ และบริหาร ผมตระหนักถึงความสำคัญของคำว่า “ยุติธรรมค้ำจุนชาติ”ว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆและจะเป็นเช่นนั้นเสมอ
             

ผมปรารถนาอย่างยิ่งให้ทุกฝ่ายตระหนักเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีภารกิจอำนวยความยุติธรรม จึงกำหนดให้หน้าอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ริมถนนแจ้งวัฒนะ ที่ผมออกแบบด้วยตัวเองยกคำว่า “ยุติธรรมค้ำจุนชาติ”ไว้ที่หน้ามุขของอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่นี้เพื่อเตือนใจข้าราชการกระทรวงยุติธรรมและผู้เกี่ยวข้องในวงการยุติธรรมทุกคนอย่าได้ละเลยเป็นอันขาด
             

 คำว่า “ยุติธรรมค้ำจุนชาติ”กลับมาดังก้องอีกครั้งในวันนี้ในวันที่มีข่าวเกรียวกราวเกี่ยวกับการใช้ดุลยพินิจของพนักงานอัยการและการเด้งรับลูกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการสั่งไม่ฟ้องคดีขับรถชนตำรวจตายเมื่อ พ.ศ. 2555 ผมเชื่อว่าหากปล่อยให้ปัญหานี้ขยายตัวบานปลายไปเรื่อยๆ นอกจากอาจจะทำให้ระบบยุติธรรมที่เป็นเสาค้ำจุนประเทศต้องล่มสลายลง ประชาชนสิ้นศรัทธาและความเชื่อถือระบบยุติธรรมของประเทศแล้ว ยังจะทำให้เกิดกระแสการแบ่งแยกชนชั้นที่จะทวีความรุนแรงทั้งทางความคิดและการกระทำ จนอาจบานปลายและถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองจากผู้ไม่หวังดีได้โดยง่าย            
           

การที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานอัยการสูงสุดพยายามลดกระแสเพียงแค่ตั้งคณะทำงานมาตรวจสอบเรื่องนี้แบบของใครของมัน ช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะความน่าเชื่อถือล้มละลายไปหมดแล้ว เชื่อกันว่าเป็นเพียงการหาทางออกที่จะสร้างความชอบธรรมให้การกระทำที่เป็นปัญหา ยิ่งได้ฟังถ้อยแถลงของผู้เกี่ยวข้องแล้ว ก็ยิ่งเห็นว่าอย่าไปคาดหวังอะไรมาก เพราะฟังประเด็นที่ตั้งสอบก็รู้คำตอบล่วงหน้าแล้ว แต่ยังมีความหวังจากคณะทำงานที่ท่านนายกฯ แต่งตั้งขึ้นมาบ้าง ก็รอดูกันต่อไปครับ
           

ผมจึงขอแสดงความคิดเห็นในฐานะคนในวงการยุติธรรมที่ยึดมั่นและเชื่อมั่นในระบบและกระบวนการยุติธรรมของประเทศมาตลอดชีวิต ตามหลักวิชาการทีละขั้นทีละตอนมากกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ตามกระแส
 

  พีระพันธ์ โพสต์บทความ ยุติธรรมค้ำจุนชาติ ตอน“ความเร็วกับความผิด”

 

ผมเห็นว่าขณะนี้ ประเด็นหนึ่งที่สังคมกำลังถูกทำให้สับสนคือเรื่องความเร็วของรถกับความผิดฐานกระทำโดยประมาท
           

กรณีที่เป็นปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องความผิดตาม พรบ. จราจรทางบกที่ต้องเถียงกันเรื่องความเร็วของรถนะครับ แต่เป็นความผิดฐานกระทำโดยประมาทคามกฎหมายอาญา ซึ่งความผิดอาญาที่เกิดจากการขับรถโดยประมาทไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับความเร็วเสมอไป และไม่จำเป็นว่าจะต้องขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนดเท่านั้นจึงจะมีความผิด แต่ไม่ว่าจะขับรถด้วยความเร็วต่ำหรือด้วยความเร็วสูงกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ไม่ใช่องค์ประกอบหลักของความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
           

กฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสี่ บัญญัติว่า
         “กระทำโดยประมาท ได้แก่การกระทำผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”
           

จากหลักกฎหมายนี้จะเห็นว่าถ้ามี “เจตนา” ก็ไม่ผิดฐานประมาท แต่จะผิดฐานประมาทต้อง
            1) ไม่มีเจตนา แต่
           2) กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
             มาตรา 291 บัญญัติต่อไปว่า ผู้ใดกระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ฯลฯ  
           

 ประเด็นคือ แม้จะขับรถด้วยความเร็วต่ำหรือด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดแต่เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุชนคนตายก็มีความผิดอาญาฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ หากมีพยานหลักฐานว่าผู้นั้นขับรถโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่แล้ว ก็ย่อมมีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291ได้เสมอ
             ทั้งนี้ ไม่ว่าคู่กรณีจะมีส่วนประมาทด้วยหรือไม่ ก็ไม่ใช่ประเด็นและไม่ใช่เหตุที่จะนำมาลบล้างความผิดที่เกิดจากการกระทำโดยประมาทของผู้นั้นได้
           

 ดังนั้น แม้ผู้ที่ถูกชนตายจะมีส่วนประมาทด้วยก็ไม่เป็นเหตุให้ผู้กระทำผิดโดยประมาทไม่มีความผิดหรือไม่ต้องรับโทษทางอาญา หากแต่เป็นเพียงเหตุลดหย่อนความรับผิดทางแพ่งเท่านั้น ส่วนทางอาญานั้นอย่างมากก็เป็นเพียงเหตุให้ศาลลงโทษน้อยลงได้บ้างก็เท่านั้น แต่ไม่ใช่เหตุที่จะสั่งไม่ฟ้องผู้กระทำผิดในฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามกฎหมายอาญา มาตรา 291 ได้เลย !!!
           

อย่างไรก็ตาม ความเร็วของรถก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงที่จะเป็นหลักฐานของความประมาทได้
           

 คดีนี้รถที่ผู้กระทำผิดขับขี่ในขณะเกิดเหตุ คือ รถสปอร์ตเฟอรารี่ ซึ่งเป็นรถประเภทรถแข่งที่มีความเร็วและอัตราเร่งสูง การขับขี่รถประเภทนี้ไปในเมืองหรือทางสาธารณะตามวิสัยและพฤติการณ์แล้วผู้ขับขี่จะต้องใช้ความระมัดระวังยิ่งกว่าการขับรถยนต์ปกติทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเป็นการขับขี่บนถนนสาธารณะในเวลากลางคืนที่มองอะไรไม่ค่อยถนัดแล้ว ผู้ขับขี่หรือผู้กระทำความผิดในคดีนี้ก็ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์สูงกว่าปกติ
           

 แต่เมื่อดูจากคลิปวงจรปิดจะเห็นว่าผู้กระทำผิดขับรถมาด้วยความเร็วสูง เห็นได้จากเมื่อเทียบกับความเร็วของรถยนต์คันอื่นๆ ที่เป็นรถปกติทั่วไปที่แล่นผ่านพื้นที่เดียวกัน หลังเกิดเหตุรถของผู้กระทำผิดลากตัวตำรวจที่ถูกชนไปกว่า 200 เมตร ยิ่งแสดงให้เห็นว่าขณะเกิดเหตุรถของผู้กระทำผิดต้องวิ่งมาด้วยความเร็วสูงมิฉะนั้นคงไม่สามารถลากตัวผู้ตายไปได้ไกลเช่นนั้น
              เมื่อดูจากสภาพความเสียหายของรถของผู้กระทำผิดกับสภาพที่มีน้ำมันไหลตลอดทาง แสดงว่ารถของผู้กระทำผิดได้รับความเสียหายอย่างมากซึ่งน่าจะเกิดจากการชนอย่างแรง ดังนั้น ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะขับรถมาด้วยความเร็วเท่าใดก็ตามแต่ต้องไม่ใช่ความเร็วปกติตามวิสัยและพฤติการณ์ของการขับรถในเมืองหรือในทางสาธารณะในเวลากลางคืนแน่นอน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการขาดการใช้ความระมัดระวังที่ผู้กระทำผิดอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ตามองค์ประกอบความผิดของกฎหมายอาญา มาตรา 291 แล้ว
             

นี่ยังไม่นับรวมถึงผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานที่พบสารเสพติดในร่างกายของผู้กระทำผิดด้วยซ้ำ
             

ดังนั้นเมื่อผู้กระทำผิดขับรถคันดังกล่าวไปชนตำรวจที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างหน้าหลังจากผ่านจุดที่บันทึกคลิปวงจรปิดได้ไม่นาน ก็ถือได้แล้วว่ามีมูลเพียงพอที่จะเชื่อได้ในเบื้องต้นว่าเป็นการขับรถที่ขาดความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์แล้ว ส่วนผู้กระทำผิดจะแก้ตัวว่าอย่างไรหรือมีพยานหลักฐานหรือพยานบุคคลประการใดก็เป็นเรื่องที่ต้องนำไปพิสูจน์ไปว่ากันในชั้นศาล
             

 การที่มีพยานที่เพิ่งระลึกชาติได้หลังเหตุการณ์ผ่านไป 8 ปีมาบอกว่าตนอยู่ในเหตุการณ์ และเห็นว่าผู้กระทำผิดขับรถไม่เร็วนั้น นอกจากจะเป็นพยานบอกเล่า เพราะนอกจากการแสดงตนหลังเหตุการณ์ผ่านไป 8 ปี ที่ไม่ใช่พฤติการณ์ปกติของพลเมืองดีแต่กลับมีพิรุธน่าสงสัยอีกหลายประการจึงต้องรับฟังพยานปากนี้ด้วยความเคร่งครัด รอบคอบ และระมัดระวัง อีกทั้งไม่มีหลักฐานอะไรที่ยืนยันได้แน่ชัดว่าพยานผู้นั้นอยู่ตรงจุดเกิดเหตุจริง ยังมีข้อสงสัยอีกมากมายเกี่ยวกับพยานผู้นี้ เช่น เหตุใดพยานผู้นี้จึงไปอยู่ ณ จุดเกิดเหตุตามวันและในเวลาเกิดเหตุซึ่งเป็นเวลาดึกมากแล้ว เหตุใดจึงเพิ่งจะมาแสดงตัวทั้งๆ ที่เป็นเรื่องโด่งดัง และหากพยานผู้นี้ขับรถตามหลังมาจริงอย่างที่เป็นข่าวจะต้องปรากฎรถของพยานผู้นี้ในคลิปกล้องวงจรปิด แต่ไม่ปรากฎว่าผู้เกี่ยวข้องกับการสั่งไม่ฟ้องแสดงได้ว่ารถคันไหนคือรถของพยานผู้นี้ 
               

 คำบอกเล่าของพยานผู้นี้จึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังได้ในทางกฎหมายและในทางสอบสวนเลย
               

นอกจากนั้น การที่พยานผู้นี้จะมาช่วยบอกว่าผู้กระทำผิดขับรถไม่เร็วก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะนำมาพิสูจน์หรือลบล้างพยานหลักฐานอื่นที่แสดงให้เห็นถึงการขาด  “ความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และได้ใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นแล้ว” เพื่อให้หลุดพ้นจากบทสันนิษฐานและองค์ประกอบความผิดของกฎหมายว่ากระทำโดยประมาทได้  
               

 

ดังนั้น การที่ผู้มีอำนาจใช้ดุลยพินิจวินิจฉัยเป็นคุณแก่ผู้กระทำผิดโดยอ้างพยานผู้นี้ นอกจากจะไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและเรื่องความรับผิดในการกระทำโดยประมาทแล้ว ยังเป็นการล้มล้างเสาแห่งความยุติธรรมที่ค้ำจุนชาติในความเชื่อของประชาชนอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย และยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่ผู้กระทำผิดอื่นในอนาคตจะใช้เป็นข้ออ้างปฏิเสธความรับผิดตามกฎหมายโดยอ้างว่าแม้เกิดอุบัติเหตุมีคนบาดเจ็บหรือล้มตายแต่ไม่มีความผิดเพราะตน “ขับรถด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด” เช่นเดียวกับคดีนี้ เช่นนี้แล้วจะถูกต้องหรือไม่ และสังคมจะอยู่กันต่อไปได้อย่างไร
                 

อย่างไรก็ตาม หากพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการในคดีนี้ให้ความสำคัญกับเรื่อง “ความเร็ว” และเป็นจุดเน้นหลักของคดีนี้จริงๆแล้ว ความผิดในคดีนี้จะเปลี่ยนไปทันที ตามที่กล่าวไว้ตอนต้นว่าการกระทำโดยประมาทคือการกระทำที่ไม่มีเจตนา หากมีเจตนาแล้วก็ไม่ใช่การกระทำโดยประมาทและไม่ใช่ความผิดตามมาตรา 291
               

 หัวใจของการกระทำผิดอาญาจริงๆแล้ว คือ “เจตนา”
                 

การกระทำโดยเจตนาตามกฎหมายอาญามี 2 ประเภท คือ 1) เจตนาประสงค์ต่อผล และ 2) เจตนาย่อมเล็งเห็นผล
           

 เจตนาประสงค์ต่อผล คือ การที่ผู้กระทำผิดมีความตั้งใจที่จะลงมือกระทำให้เกิดผลร้ายเช่นนั้น ส่วนเจตนาย่อมเล็งเห็นผล คือการที่ผู้กระทำผิดแม้ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เกิดผลร้ายจากการกระทำของตนแต่เล็งเห็นหรือคาดการณ์ได้ว่าหากกระทำเช่นนั้นแล้วจะเกิดผลร้ายเช่นนั้นได้ และหากในที่สุดเกิดผลร้ายเช่นนั้นจากการกระทำของตนขึ้นมาจริงๆ แล้ว กฎหมายถือว่าผู้นั้นมีเจตนากระทำผิดไม่ใช่กระทำโดยประมาท
               

ตัวอย่างเช่น การที่เราเอาดินสอปลายแหลมแทงเพื่อนเบาๆ เพราะต้องการจะล้อเล่น แต่เผอิญเพื่อนเกิดบิดตัวอย่างแรงจึงทำให้มีแรงกระแทกมากเป็นเหตุให้เพื่อนบาดเจ็บ เช่นนี้ ถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเพราะเราแทงเบาๆ แต่หากเราใช้ดินสอแทงเพื่อนอย่างแรงจนทะลุถึงเนื้อ เช่นนี้ไม่ใช่กระทำโดยประมาทแต่เป็นเจตนาทำร้ายร่างกายประเภทเจตนาย่อมเล็งเห็นผล
                 

เพราะเราย่อมเล็งเห็นหรือคาดการณ์ได้ว่าดินสอที่มีปลายแหลมคมเมื่อบวกกับแรงกระแทกอย่างแรงที่เรากระทำลงไปย่อมสามารถทิ่มแทงทะลุผิวหนังเพื่อนจนอาจทำให้เพื่อนได้รับบาดเจ็บได้
                 

ฉันใดก็ฉันนั้น หากการขับขี่รถสปอร์ตเฟอรารี่ ที่เป็นรถประเภทรถแข่งที่มีความเร็วและอัตราเร่งสูงไปในเมืองหรือทางสาธารณะในเวลากลางคืนที่แสงสว่างต่างจากเวลากลางวันด้วยความเร็วสูงกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือเกือบ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ย่อมถือได้ว่าผู้กระทำย่อมเล็งเห็นหรือคาดการณ์ได้ว่าอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุและอาจมีคนได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นถึงขั้นบาดเจ็บหรือล้มตายได้ แต่หากผู้นั้นยังกระทำการดังกล่าวลงไปคือขับรถต่อไปด้วยความเร็วสูงจนเกิดอุบัติเหตุชนตำรวจถึงแก่ความตาย เช่นนี้ ต้องถือว่าผู้นั้นมี “เจตนาย่อมเล็งเห็นผล“ ทำให้กลายเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 288 โทษถึงประหารชีวิต มิใช่ความผิดฐานขับรถโดยประมาทตามกฎหมายอาญา มาตรา 291 ที่มีโทษเพียงจำคุกไม่เกินสิบปีครับ
                 

ลองคิดกันดูนะครับว่าความเร็วกับความผิดในกรณีแบบนี้จะเข้าเงื่อนไขข้อไหน
                 

ถ้าเข้าเงื่อนไขตามมาตรา 288 ก็ถือเป็นประเด็นใหม่ที่ยังไม่เคยฟ้องเลยนะครับ
                 

คราวหน้าจะค่อยว่ากันในประเด็นอื่นต่อไปครับ