คดี"บอส อยู่วิทยา" ตร.ลั่นจบแล้วโยนครอบครัวฟ้องเอง

29 ก.ค. 2563 | 07:54 น.

“ตำรวจ”ลั่นคดี "บอส อยู่วิทยา" จบแล้ว โยนครอบครัวผู้เสียหายฟ้องเอง แจงพยาน 2 ปาก โผล่หลังผ่านมา 7 ปี เป็นการสอบเพิ่มเติมของอัยการ

วันนี้(29 ก.ค.63) ภายหลังการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ครั้งที่ 1/2563 คดี “บอส อยู่วิทยา” ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ตั้งขึ้น โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สมชาย พัชรอินโต ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี ได้ชี้แจงรายละเอียดกรอบการพิจารณาตรวจข้อเท็จจริง

 

พล.ต.อ.ศตวรรษ  กล่าวยอมรับว่า ความเห็นไม่แย้งคำสั่งของอัยการในคดีถือว่าคดีสิ้นสุดแล้วไม่สามารถแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงความเห็นได้อีก

 

ส่วนการพิจารณาความเห็นที่อัยการส่งมานั้น เป็นการพิจารณาความถูกต้องในข้อกฎหมาย และดูข้อเท็จจริง ทางตำรวจไม่มีอำนาจตรวจสอบความเห็นของอัยการหรือขอให้อัยการอธิบายเหตุผลของการสั่งคดีได้ เพราะเป็นการถ่วงดุลอำนาจในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ จะทำหน้าที่สืบหาข้อเท็จจริงว่า การใช้ดุพินิจของ พล.ต.ท.ทเพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะรื้อฟื้นหรือสืบสวนเพิ่มเติม เพราะคดีผ่านชั้นสืบสวนของตำรวจมาแล้ว

 

การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกเกี่ยวกับกระบวนการสืบหาข้อเท็จจริงในกระบวนการขั้นตอนดำเนินคดีอาญานายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ซึ่งมี 3 กรอบ ประกอบด้วย

 

1.การสอบสวนและความเห็นชั้นพนักงานสอบสวน

 

2.การสอบสวนเพิ่มเติมตามคำสั่งพนักงานอัยการ

 

3.การดำเนินการพิจารณาความเห็นตามป.วิอาญามาตรา 145/1

 

ทั้งนี้ได้มีการแบ่งหน้าที่ทำงานให้คณะกรรมการแต่ละส่วนรับไปดำเนินการ โดยเฉพาะรายละเอียดข้อเท็จจริง และบุคคลหรือพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตั้งแต่แรก โดยจะมีการประชุมทุกวันเพื่อพิจารณาในรายละเอียดเวลา  10.00 น.

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทุกระดับที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ในส่วนของตำรวจเข้ามาสอบถามในคณะกรรมการทุกท่าน โดยจะพิจารณาการดำเนินการของตำรวจที่รับผิดชอบตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการว่าได้ดำเนินการถูกต้อง ตามระเบียบหรือไม่


 

 พล.ต.อ.ศตวรรษ กล่าวอีกว่า ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นห่วงและได้กำชับมาว่าการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ต้องได้ข้อเท็จจริง โปร่งใส และสามารถอธิบายเป็นขั้นตอนได้ว่า ตั้งแต่เริ่มต้นคดีทางพนักงานสอบสวนดำเนินการมาเป็นขั้นตอนอย่างไร จนกระทั้งสุดท้ายสั่งไม่ฟ้อง

 

ด้าน พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวถึงการพิจารณาในกรอบที่ 3 ว่า หลังพนักงานอัยการมีความเห็นแล้วก็จะส่งมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ แย้งหรือไม่แย้ง ซึ่งผู้ที่ใช้อำนาจผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตามป.วิอาญามาตรา 145/1 จะพิจารณาได้เฉพาะคำฟ้องของพนักงานอัยการเท่านั้น จะดูข้อกฎหมายที่ทางพนักงานอัยการมีความเห็นมานั้น มีข้อกฎหมายถูกต้องหรือไม่ และข้อเท็จจริงที่พนักงานอัยการมีความเห็นมานั้นมีข้อเท็จจริงที่ถูกต้องหรือไม่ ในกรอบที่ 3 ไม่มีอำนาจที่จะไปรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมอีกแล้ว

 

 โดยคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากการตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิด แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ

1.การกระทำความผิดที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

2.การกระทำความผิดด้านวินัย

ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด ให้เสนอท่านว่าใครกระทำความผิดบ้าง ด้านอาญาก็ให้ส่งทางป.ป.ช. ส่วนทางวินัยก็ให้ลงทัณฑ์ทันที

 

“เมื่อปี 2559 สมัยผมเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เคยตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีนี้แล้ว พบว่าได้กระทำผิดละเว้นการปฏิบัติในบางขั้นตอน ซึ่งได้ส่งเรื่องไปที่ป.ป.ช.แล้ว และป.ป.ช.ได้มีมติออกมาแล้วว่าเป็นการกระทำความผิดวินัย และได้ส่งกลับมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้ลงโทษกักขัง ภาคทัณฑ์ไปแล้วหลายราย และยุติเรื่องในบางท่านที่ได้เกษียณอายุไปแล้ว”

 

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนไม่เกี่ยวข้องกับพยานใหม่ 2 ปาก เนื่องจากอัยการเป็นฝ่ายมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวน สอบปากคำเพิ่ม หลังผู้ต้องหายื่นร้องขอความเป็นธรรมกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พนักงานสอบสวนจึงทำตามขั้นตอนที่อัยการกำหนดเท่านั้น โดยไม่สามารถก้าวล่วงกับการให้น้ำหนักของพยาน 2 ปากนี้

 

“ที่ผ่านมา คดีร้อยละ 97 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นไม่แย้ง มีเพียงร้อยละ 3 ที่เห็นแย้ง โดยทั่วไปผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบคดีตามเขตอำนาจของพนักงานอัยการ จึงสามารถมีความเห็นแย้งหรือไม่แย้งคดีได้”


 

 

 พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ยืนยันว่า คณะกรรมการชุดนี้ไม่ใช่การฟอกขาว การไม่แย้งคำสั่งอัยการของ พล.ต.ท.เพิ่มพูน แต่จะทำข้อเท็จจริงให้ปรากฎต่อสาธารณชนและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าคณะกรรมการทำอะไรบ้าง โดยจะประชุมและแถลงข่าวให้ทราบเป็นระยะ" พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ระบุ

 

 อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ จะไม่มีผลต่อคดีความ เพราะคดีสิ้นสุดแล้ว หลังตำรวจมีความเห็นไม่ฟ้อง 1 ข้อหา และสั่งฟ้องข้อหาอื่นทั้งหมด และจะไม่เกี่ยวข้องกับผลการตรวจสอบของอัยการสูงสุด แต่หากพบว่ามีการใช้ดุพินิจไม่ชอบ ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาความผิดทางวินัยและอาญาต่อไป

 

สำหรับคดีนี้แม้ทางกระบวนการของตำรวจจะเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่ครอบครัวผู้เสียหายยังสามารถฟ้องร้องคดีต่อศาลได้เองตามกระบวนการยุติธรรม

 

ทางด้าน พล.ต.ท.สมชาย กล่าวถึงขั้นตอนตามกฎหมายได้บัญญัติไว้ว่าให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งโดยปกติทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ละท่านเป็นผู้พิจารณาในคดี แบ่งกันไปตามอำนาจหน้าที่ของอัยการแต่ละส่วน