“คำนูณ”จี้นายกฯสอบคดี “บอส อยู่วิทยา” เตือนอย่าประมาทความรู้สึกประชาชน

26 ก.ค. 2563 | 08:27 น.

“ส.ว.คำนูณ”ข้องใจ 2 พยานใหม่โผล่คดี “บอส อยู่วิทยา” จี้นายกฯเร่งตรวจสอบ เตือนอย่าประมาทความรู้สึกประชาชนที่คุกรุ่น

วันนี้ (26 ก.ค.63) นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กlส่วนตัว ระบุถึงกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา กรณีขับรถชนดาบตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต ในหัวข้อเรื่อง “อับอาย อึดอัด คับข้อง และคุกรุ่น !” เนื้อหาระบุว่า

นายดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ถูกหนุ่มทายาทอภิมหาเศรษฐีระดับโลกขับรถเฟอรารี่ชนตายลากไปเป็นระยะทางยาวแล้วยังถูกกระบวนการยุติธรรมทางอาญาขั้นก่อนศาลวินิจฉัยว่าขับรถมอเตอร์ไซค์โดยประมาท เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ตัวเองตาย ต้องตกเป็นผู้ต้องหาที่ 2 มาตั้งแต่แรกในชั้นพนักงานสอบสวนแล้ว แปลว่าในชั้นต้นพนักงานสอบสวนตั้งประเด็นไว้ว่าเป็นเหตุที่เกิดจากความประมาทร่วมกันของคู่กรณี

แต่ท้ายสุด ในสำนวนสั่งคดีของอัยการ ท่านเห็นว่าเป็นเหตุประมาทของนายดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐฝ่ายเดียว ทายาทอภิมหาเศรษฐีหาประมาทไม่ !

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คดี"บอส อยู่วิทยา" อสส.เรียกตรวจสำนวน 29 ก.ค.นี้

ลึกลับ คดี “บอส อยู่วิทยา” เผย2พยาน โผล่ให้การหลังเกิดเหตุแล้ว 8 ปี 

ลากคดี “บอส อยู่วิทยา”เข้าสภา พปชร.สอบลบวลี“คุกมีไว้ขังคนจน”


คิดในแง่บวก ก็ยังดีที่ทายาทนายดาบไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้อีก !!

เหตุเกิดเพราะมีการร้องเรียนขอความเป็นธรรมในชั้นอัยการให้สอบสวนใหม่หลายครั้ง หลายช่วงเวลา รวมทั้งร้องเรียนไปยังองค์กรอื่นด้วย ในที่สุดอัยการจึงสั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม ปรากฏว่ามีนายตำรวจ 2 นาย เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญมาให้การเพิ่มเติมเรื่องความเร็วของรถเฟอรารี่ โดยตรวจสอบสภาพของรถคู่กรณี โดยเปรียบเทียบกับคดีอื่น ๆ แล้ว ยืนยันว่ารถเฟอรารี่ขับมาด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ไม่ใช่ 177 กม./ชม. บวกลบ เหมือนที่พยานผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนายตำรวจเช่นกันเคยให้การไว้ในการสอบสวนครั้งแรก

นอกจากนี้พยานบุคคลใหม่มาให้การในวันที่ 4 ธันวาคม 2562 อีกด้วย พยานบุคคลใหม่ทั้ง 2 รายเป็น “ประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ” จึงมีความสำคัญต่อเนื่องมาจากพยานผู้เชี่ยวชาญใหม่ข้างต้น

เพราะเรื่องความเร็วของรถ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เป็น “ประเด็นสำคัญแห่งคดี” นี้ที่จะทำให้วินิจฉัยได้ว่าใครประมาทหรือประมาทร่วม
พยานทั้งสองบอกว่าขับรถมาด้วยความเร็วราว 60 - 70 กม./ชม. ตามรถมอเตอร์ไซค์
และนายดาบเป็นผู้เปลี่ยนเลนจากเลนที่ 1 ด้านติดฟุตปาธ ไปยังเลนที่ 3 ด้านติดเกาะกลางถนนที่รถเฟอรารี่ขับมาอย่างกระชั้นชิด

อัยการท่านเชื่อพยานผู้เชี่ยวชาญใหม่ และประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุใหม่ เห็นว่าคนขับรถเฟอรารี่ไม่เป็นผู้ขับรถโดยประมาท เพราะขับมาด้วยความเร็วตามกฎหมายเป๊ะ แต่กลับถูกปาดหน้าในระยะกระชั้นชิด จึงชนไปโดยเหตุสุดวิสัย หาใช่ประมาทไม่ ผู้ประมาทคือนายดาบเคราะห์ร้ายผู้วายชนม์ต่างหาก ส่วนข้อหาขับรถขณะดื่มสุรานั้นสั่งไม่ฟ้องไปนานแล้ว จึงไม่อยู่ในประเด็นแห่งคดีนี้จึงพลิกกลับคำสั่งฟ้องเดิม สั่งไม่ฟ้อง

ขณะที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่โต้แย้ง ไม่มีรายงานว่า “ประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ” ใหม่ทั้ง 2 ราย ที่ขับรถอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยขับรถตามนายดาบ เห็นเหตุการณ์กับตาทั้งหมด ไฉนเพิ่งมาให้การเอาในช่วงนี้ เมื่อ 8 ปีก่อนขณะเกิดเหตุการณ์โด่งดังไปอยู่เสียที่ไหน และประเด็นนี้อัยการท่านสงสัยหรือไม่ และมีเหตุผลใดมีน้ำหนักเพียงพอมาหักล้างข้อสงสัยนั้น

ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด ตั้งแต่ต้นจนจบโดยด่วนเป็นเบื้องต้น ท่านเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร อย่างน้อยที่สุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็อยู่ในราชการฝ่ายบริหารภายใต้การกำกับดูแลของท่านโดยตรง และท่านเองก็ได้รับปากอย่างองอาจกลางสภาว่าจะเร่งดำเนินการปฏิรูปตำรวจ 

บัดนี้เวลาผ่านมาเนิ่นนานแล้ว กรุณาบอกกล่าวต่อประชาชนว่าท่านจะทำอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติกับร่างพ.ร.บ.การสอบสวนคดีอาญาที่อยู่ในมือของท่าน จะเอายังไงกันดีครับ

ผู้คนทั้งสังคมอับอาย อึดอัดคับข้อง อารมณ์คุกรุ่น อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

อยากได้มธุรสชโลมใจลดความอึดอัดคับข้องคุกรุ่นจากปาก และการกระทำของท่านนายกรัฐมนตรีโดยพลันครับ

บริหารราชการแผ่นดินโดยประมาทความรู้สึกของประชาชนไม่ได้เด็ดขาด