“นิพิฐฏ์”ฟ้องศาลเอาผิด 7 กกต.ปฏิบัติหน้าที่มิชอบปมเลือกตั้งพัทลุง

29 มิ.ย. 2563 | 06:21 น.

“นิพิฏฐ์”ยื่นฟ้องศาลอาญาคดีทุจริต เอาผิด 7 กกต. มาตรา 157 ฐานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปมเลือกตั้งส.ส.พัทลุง

วันนี้ (29 มิ.ย.63) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ให้เอาผิดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 7 คน ข้อหาปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 เนื่องจากบุคคลทั้ง 7 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการจัดการเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรม และต้องใช้อำนาจหน้าที่อย่างกล้าหาญ ปราศจากอคติ และการใช้ดุลยพินิจต้องเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ตามรัฐธรรมนูญ  พ.ร.ป.ว่าด้วยกกต.  และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง

 

ทั้งนี้สืบเนื่องจากการที่ตนได้ยื่นเรื่องต่อ กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบการซื้อเสียงในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดพัทลุง ของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2562 ใน 4 ประเด็น โดย กกต.ได้ยกคำร้อง 2 เรื่อง  

 

แต่อีก 2 เรื่องใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจเกินขอบเขตของกฎหมาย ทำให้ในตนจำเป็นต้องฟ้อง กกต.ทั้ง 7 คน เนื่องจากได้สมคบคิดใช้อำนาจโดยทุจริตมีอคติ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ใช้อำนาจ ใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ ไม่มีข้อเท็จจริง และเหตุผลรองรับการใช้ดุลพินิจอันเป็นการช่วยเหลือผู้สมัคร และพรรคการเมืองหนึ่งให้เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งในเขตการเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดพัทลุง แทนที่จะใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายจัดการเลือกตั้งใหม่ ทั้งที่มีข้อเท็จจริงปรากฎชัดว่า เต็มไปด้วยการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันจะเป็นผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

“การกระทำของ กกต.ทั้ง 7 เป็นการใช้ดุลยพินิจที่มิได้อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล และเป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ จนล้ำออกนอกเขตของความชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ โดยทุจริตตามนัยยะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2549”

 

นอกจากนี้ การกระทำของ กกต.ทั้ง 7 ยังเป็นการบั่นทอนและทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หากปล่อยให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป กกต.จะเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่ทุจริต และเข้าไปแสวงหาอำนาจและประโยชน์อันจะเกิดความเสียหายต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง” นายนิพิฏฐ์ กล่าว  


 

สำหรับ 4 ประเด็น ที่นายนิพิฏฐ์ ยื่นร้อง กกต.ประกอบด้วย

 

กรณีที่ 1 พบการซื้อเสียงที่ ต.พนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ซึ่งมีหลักฐานภาพถ่าย และพยานเล่ากับตนว่ามีการรับเงิน 4 พันบาทให้กับคน 8 คน เพื่อซื้อเสียง แต่หลังจากพยานให้การกับ กกต.ครั้งแรกก็ได้ให้การเหมือนกับที่เล่าให้ตนฟัง แต่หลังจากนั้นพยานคนดังกล่าวกลับไปให้การใหม่แล้วบอกว่า ไม่ขอยืนยันคำให้การเดิมที่เคยให้การไว้

 

 “ผู้หญิงคนนี้ไปให้การใหม่ เขาบอกว่าเขาไม่ยืนยันคำให้การเดิมที่เขาให้การไว้ ที่บอกว่าเงินนี้ซื้อเสียงให้กับหลานเขานั้นความจริงแล้วไม่ใช่เงินซื้อเสียง แต่เป็นเงินที่เขาให้หลานไปซื้อน้ำมันพืช อันนี้สิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นก็คือ กกต.เชื่อว่าผู้หญิงคนนี้ให้คนเงินหลานไปซื้อน้ำมันพืช เลยยกคำร้องของผม”

 

กรณีที่ 2 กรณีที่มีภาพรายชื่อหัวคะแนน และคลิปกำลังจ่ายเงินเพื่อจูงใจให้เลือกผู้สมัครพรรคการเมืองหนึ่ง ของคืนวันที่ 23 มี.ค. 2562

 

“กกต. ยกคำร้องเพราะพยานไปให้การว่า ตอนที่พยานอัดคลิปนี้ พยานไม่รู้ว่าเงินอะไร พยานไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูดกัน แต่อันนี้มันไม่จริง เพราะว่าที่พยานส่งคลิปให้ผมนั้นมันชัดเจน ว่าเงินนี้ของเบอร์ ... นะ 500 นะ สิ่งที่พยานบอกว่าไม่รู้ว่าเงินอะไร มันขัดกับภาพบัญชีคนซื้อเสียง แล้วบอกว่าไม่รู้ว่าเขาซื้อเสียงว่าเงินอะไร กกต.ยกคำร้องด้วยเหตุผลที่ว่าผู้บันทึกคลิปนี้ได้บอกว่าไม่ได้ยินว่าเขาพูดกันว่าอะไร เลยยกคำร้อง”นายนิพิฏฐ์ กล่าว

 

กรณีที่ 3 กรณีกลุ่มไลน์ “เพื่อนนายฉลอง” ซึ่งมีสมาชิกราว 400 คน มีการส่งรูปบัตรประชาชนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก โดยในกรณีกลุ่มไลน์ “เพื่อนายฉลอง” นี้ ตนร้องกกต. 2 เรื่อง คือ กำนันผู้ใหญ่บ้านไม่ว่างตัวเป็นกลาง เพราะมีการให้ผู้ใหญ่บ้านไปถ่ายรูปบัตรประชาชนแต่ละบ้านส่งเข้ากลุ่ม แต่มีผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งปฏิเสธที่จะทำ เพราะต้องการวางตัวเป็นกลาง หลังจากนั้นผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวถึงถูกให้ออกจากกลุ่มไลน์ดังกล่าว

 

“ดังนั้นเรื่องนี้ผมร้อง กกต.ว่า ข้าราชการวางตัวไม่เป็นกลาง ตาม พรบ.การเลือกตั้ง แต่ กกต. วินิจฉัยว่า การที่ถ่ายบัตรประชาชนจำนวน 35,000 ใบ ลงในกลุ่มไลน์เพื่อนนายฉลองนั้น เป็นเรื่องของการสำรวจคะแนนนิยม ว่ามีคนนิยมพรรค ... เท่าใด แต่ผมก็โต้แย้งว่า การสำรวจคะแนนนิยมนั้น 1.เขาไม่ใช้กำนันผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ไปทำในขณะนี้กำลังมีพรฎ.การเลือกตั้ง ขนาดทำโพลยังทำไม่ได้เลย 2.ถ้าเป็นการสำรวจคะแนนนิยมจริง คุณลบชื่อผู้ใหญ่บ้านที่เป็นกลางในทางการเมืองออกทำไม แต่ในเรื่องนี้ กกต.ให้เหตุผลว่าได้เรียกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คนนั้นมาสอบสวนแล้ว กำนัน ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า เป็นการสำรวจคะแนนนิยม แล้วเขาวางตัวเป็นกลาง เขาไม่ได้ข่มขู่บังคับ กกต.ก็ยกคำร้อง ด้วยเหตุที่ว่า กำนันผู้ใหญ่บ้านยังวางตัวเป็นกลางอยู่ ทั้งๆ ที่กรณีการสำรวจคะแนนนิยม ตาม พรบ.ลักษณะการปกครองท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านจะทำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้”

 

ส่วนเรื่องกลุ่มไลน์ “เพื่อนนายฉลอง” อีกเรื่องหนึ่งคือ มีคนในกลุ่มไลน์ดังกล่าวส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มไลน์ว่า “พวกเรา ถ้าถูกจับในขณะซื้อเสียง ให้บอกว่าเป็นเงินของพรรคประชาธิปัตย์” กรณีนี้ตนร้องต่อ กกต.ว่า เป็นการใส่ร้ายพรรคประชาธิปัตย์ และผู้สมัคร แต่ กกต.ลงโทษคนที่ส่งข้อความว่าเป็นการใส่ร้ายทำให้เสื่อมเสียคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ และทำให้เสียคะแนนนิยมของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ กกต. จึงให้ดำเนินคดีกับคนที่ส่งข้อความดังกล่าว ซึ่งปกติถ้ามีลักษณะอย่างนี้ แสดงว่าการเลือกตั้งไม่สุจริต เที่ยงธรรม ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ กกต. ไม่จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่

 

“ทั้งหมดนี้ กกต.ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ นอกล้นไปจากขอบเขตของกฎหมาย ซึ่งสามารถที่จะลงโทษได้ว่าปฏิบัติหน้าที่ผิดต่อกฎหมายโดยทุจริต ที่ผมพูดวันนี้ผมเปิดเผยข้อมูลเพียงบางส่วน คนซื้อเสียงที่มาพบผม และให้ข้อมูลเหล่านี้ ผมไม่เชื่ออยู่แล้วว่าคนเหล่านี้จะซื้อตรง ผมมีข้อมูลมากกว่านั้น ถ้า กกต. รู้ว่าในมือผมมีข้อมูลมากกว่านั้น กกต.จะหนาวเลย แต่ผมไม่เปิดเผยวันนี้ ผมเคยทำเรื่องถึง กกต. ตอน กกต.ชุดโน้นนานมาแล้วติดคุก ผมก็อยู่ในกระบวนการนั้น และผมก็รู้ว่า กกต.ติดคุกเพราะอะไร เหตุผลอย่างไร ผมยืนยันด้วยศักดิ์ศรีของการเป็นทนายความนักกฎหมาย ตลอดชีวิตของผมว่าเรื่องนี้มีพยานหลักฐาน หนาแน่น หนักแน่นมากกว่าคดีที่ กกต.ติดคุก และผมจะทำเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด” นายนิพิฏฐ์ ระบุ