3 CEO นำทัพธุรกิจ ฝ่าโควิด-19

25 มิ.ย. 2563 | 07:19 น.

3 หุ้นมหาชนฝ่าโควิด-19 GULF เดินหน้าซื้อกิจการเติมพอร์ต หลังจังหวะเหมาะสม ด้าน PTT มองธุรกิจผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ส่วน WHA หวังเปิดประเทศ หนุนกิจการบริษัท

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จีดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) เปิดเผยในงานสัมมนา “ส่องหุ้นไทย ฝ่าวิกฤติโควิด” จัดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หัวข้อ“ล้วงลึกหุ้นมหาชน ฝ่าโควิด” ว่า ในปี 2563 คาดว่ารายได้จะเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนกับผู้ร่วมทุนในต่างประเทศแถบเอเชีย และยุโรป เป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและใหญ่ และมีรูปแบบทั้งร่วมทุนและควบรวมกิจการ (M&A) 

อย่างไรก็ตาม โครงการใหม่ที่ให้ความสนใจ คือ โครงการที่สามารถให้ผลตอบแทนทันที หากซื้อกิจการเข้ามาจะต้องมีกำไรทันที ซึ่งการลงทุนในช่วงนี้ มองว่าเป็นจังหวะที่ดี เนื่องจากดอกเบี้ยอยู่ในภาวะต่ำสุดในรอบหลายปี ส่วนในหลายประเทศอยู่ในภาวะติดลบ ทำให้ต้นทุนในการลงทุนของบริษัทลดลงด้วย นอกจากนี้ การเร่งลงทุนในช่วงนี้และหาโครงการใหม่ๆ เข้ามาในพอร์ต เพราะหากไม่เร่งทำ จะส่งผลให้อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ของบริษัทอยู่ในระดับสูง

"แนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 มากนักโดยบริษัทได้ปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนไปได้ รวมถึงมีความคืบหน้าในโครงการที่เข้าร่วมพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเช่น โครงการท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 และโครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ส่วนโครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) คาดว่าจะมีการลงนามสัญญา PPP ในช่วง1-2 สัปดาห์จากนี้ รวมมูลค่าการลงทุนประมาณ 12,000 ล้านบาท"

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว หลังจากไตรมาสแรกมีผลขาดทุน ทั้งนี้ คาดว่าราคาน้ำมันดิบปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 40 เหรียญสหรัฐบาร์เรล บวกลบ ภายใต้ปัจจัยกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ทำตามเงื่อนไขลดกำลังการผลิต และสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบสองไม่รุนแรง

ทั้งนี้ แผนการลงทุน 5 ปี บริษัทตั้งงบลงทุนประมาณ 150,000 ล้านบาทโดยจะใช้งบลงทุนประมาณ 10% ของงบลงทุนรวมทั้งหมด เพิ่มธุรกิจใหม่ๆ และหาผู้ร่วมลงทุนเพื่อเสริมจุดแข็ง ส่วนธุรกิจเดิมทั้งธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ยังเน้นการขยายไปต่างประเทศ ด้านธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ยังมองโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ายังมีการทำร่วมกับพันธมิตร รวมถึงเน้นขยายไปพื้นที่ใหม่อีกด้วย

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บบริษัท ดับบลิวเอชเอคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) กล่าวว่า ปัจจุบันการขายที่ดินของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมได้หยุดชะงักลง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทปี 2563 โดยปรับเป้าหมายรายได้ลดลงเหลือเติบโต 15% จากเดิมที่ตั้งไว้เติบโต 20% ซึ่งคาดว่ามาตรการคลายล็อกดาวน์และการผ่อนคลายการเปิดประเทศให้ต่างชาติเข้ามาหลังจากนี้ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กับธุรกิจของบริษัท

สำหรับยอดขายที่ดินปีนี้ คาดจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1,400 ไร่หรือมีโอกาสได้มากกว่าเป้าหมาย จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมที่เวียดนามมีโอกาสที่ขายได้เกินเป้า 200 ไร่ เพราะปัจจุบันลูกค้าในเวียดนามสนใจเข้ามาเจรจาซื้อที่ดินของบริษัทเป็นจำนวนมากส่วนยอดขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทในประเทศไทย ยังคงรอการเปิดประเทศให้นักลงทุนต่างชาติเดินทางเข้ามา 

ขณะที่ ธุรกิจคลังสินค้าให้เช่ายังคงสร้างรายได้ได้ดีอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของธุรกิจ E-Commerce ทำให้มีความต้องการใช้พื้นที่คลังสินค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่คลังสินค้าในปีนี้จะทำได้250,000 ตารางเมตร ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภคมองว่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นหลังจากภาคอุตสาหกรรมกลับมาเดินเครื่องผลิตปกติในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้คาดว่ายอดขายและให้บริการน้ำในปีนี้จะยังมากกว่าปีก่อนตามที่ได้เป้าหมายไว้ 147 ล้านลูกบาศก์เมตร

นอกจากนี้ แผนการลงทุนของบริษัท ช่วง 5 ปี (ปี 2563-2567) ยังคงงบลงทุนเดิมที่ 52,000 ล้านบาท แม้ว่าจะมีการหยุดชะงักของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในปีนี้จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เชื่อว่าหลังจากนี้จะเห็นแนวโน้มที่กลับมาดีขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564 เพราะเห็นสัญญาณความต้องการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น หลังจากภาครัฐสนับสนุนให้สิทธิพิเศษด้านการลงทุน และการเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ