นับตั้งแต่การพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสาธารณรัฐเช็กคนแรกเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2563 และรัฐบาลเช็กตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2563 ตลอดจนการออกคำสั่งปิดสถานบันเทิง ร้านอาหาร (อนุญาตเพียงการซื้อและนำกลับไปรับประทานที่บ้านและการจัดส่งอาหารเท่านั้น) สถานที่ออกกำลังกายในอาคาร ร้านนวดและสปา และร้านขายของทั่วไปยกเว้น ร้านขายยา ร้านขายของชำ ซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ ร้านขายอาหารสัตว์ และร้านขายของใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ตลอดจนการปิดพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้านและจำกัดการเดินทางออกนอกประเทศของประชาชนเช็ก และการห้ามนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมหภาคของประเทศเช่นเดียวกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เช็กมีอัตราผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสม 8,352 คน เข้ารับการรักษาหาย 5,249 คน เสียชีวิต 293 คน โดยผู้ติดเชื้อในกรุงปรากมีจำนวนมากที่สุดอยู่ที่ 1,915 คน และมีจำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันต่ำกว่า 100 และตัวเลข Reproductive Number อยู่ในระดับต่ำกว่า 1 มาเป็นระยะเวลากว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งเราจะไปดูผลกระทบทางเศรษฐกิจและมาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ในทางเศรษฐกิจของเช็กว่าเป็นอย่างไรบ้าง
สำหรับภาพรวมสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเช็กก่อนการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ก่อนการแพร่ระบาดมีการคาดการณ์ว่า อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเช็กในปี 2563 จะอยู่ที่ประมาณ 2.1% ลดลงจากปี 2561 และ 2562 ซึ่งอยู่ที่ 2.8% และ 2.4% ตามลำดับ อันเป็นผลจากสภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคยุโรปซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของเช็ก โดยแรงขับเคลื่อนที่สำคัญทาง เศรษฐกิจยังคงอยู่ที่การบริโภคของภาคครัวเรือนและการลงทุนรายย่อย ในขณะที่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานยังคงเป็นปัจจัยลบสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและส่งผลให้เกิดการปรับขึ้นค่าแรงอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นภาระทางต้นทุนของอุตสาหกรรมการผลิต
ส่วนผลกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจและต่ออุตสาหกรรมหลักของประเทศจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายหลังการตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลเช็กเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2563 และการใช้มาตรการจำกัดการเดินทางโดยเสรีของประชาชน การห้ามชาวเช็กเดินทางออกนอกประเทศและการห้ามนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่ 00.00 น. ของวันที่ 16 มีนาคม 2563 (ตามเวลาท้องถิ่น) ธนาคารกลางเช็ก กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า และกระทรวงการคลังเช็กได้คาดการณ์ถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ดังนี้
1. ธนาคารกลางเช็กคาดการณ์ว่า ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2 – 2.3% จะต้องปรับลดลงมาอยู่ที่ประมาณ -8% ในขณะที่กระทรวงการคลังเช็กคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ -5.6 ถึง – 11% และ IMF คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ – 6.5% ของ GDP ซึ่งนับว่าเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2552
2. การจำกัดการเดินทางของประชาชนโดยเสรีและการสั่งปิดร้านค้าปลีกส่งผลให้รัฐบาลเช็กต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เฉลี่ยวันละ 2 พันล้านคอรูน่า (ประมาณ 2.6 พันล้านบาท) โดยภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสูงสุด ได้แก่ ผู้ค้าปลีก ธุรกิจการบินและการขนส่ง และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ
3. อุตสาหกรรมยานยนต์ บริษัท Skoda Auto ซึ่งเป็นผู้ผลิตยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของเช็กและมีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออกของประเทศโดยในปี 2562 ผลิตรถยนต์ทั้งหมด 908,000 คัน และในเดือนมกราคม 2563 ผลิตรถยนต์ทั้งหมด 76,250 คัน เฉลี่ยประมาณ 2,500 คันต่อวันได้ตัดสินใจปิดโรงงานผลิตรถยนต์ทั้ง 3 แห่งในเช็ก ได้แก่ โรงงานที่เมือง Mlada Boleslav, Central Bohemia ,โรงงานที่เมือง Kvasiny และโรงงานที่เมือง Vrchlabi (ผลิตชุดเกียร์และอะไหล่) ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 เวลา 22.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น)
ในขณะเดียวกันบริษัท Toyota Peugeot Citroen Automobile (TPCA) ซึ่งมียอดขายรถยนต์ประมาณ 210,121 คันในปี 2562 บริษัทฮุนไดซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Nosovice ในภูมิภาค Moravia-Silesia ซึ่งเป็นโรงงานของบริษัทฮุนไดเพียงแห่งเดียวในอียูได้ตัดสินใจปิดโรงงานผลิตจนถึงปลายเดือนเมษายน 2563 ส่วนบริษัทยานยนต์อื่นได้ขยายการปิดโรงงานไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2563
สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์เช็กคาดการณ์ว่า การตัดสินใจปิดโรงงานการผลิตของบริษัทผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ในเช็กจะทำให้ปริมาณการผลิตยานยนต์ของประเทศในปี 2563 ลดลงอย่างน้อย 10% จากปี 2562 ที่มีการผลิตยานยนต์ทั้งหมด 1.43 ล้านคัน และในแต่ละวันที่มีการหยุดการผลิตคาดว่าจะมีมูลค่าความสูญเสียอยู่ที่ประมาณ 1.5 พันล้านคอรูน่า (1.95 พันล้านบาท) และยอดการสั่งซื้อรถยนต์ในเดือนมีนาคม 2563 ได้ลดลงจากวันละ 1,000 คันในปี 2562 เหลือวันละ 10 คัน
4. ภาคการท่องเที่ยวและร้านอาหาร สำนักงานการท่องเที่ยวเช็ก (CzechTourism) เปิดเผยว่าในปี 2562 ธุรกิจการท่องเที่ยวมีอัตราส่วนถึง 3% ของ GDP มีรายได้สูงถึง 167,000 ล้านคอรูน่า (ประมาณ 217,100 ล้านบาท) ซึ่งก่อนการแพร่ระบาดของ โควิด-19 จำนวน 2 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางไปยังเช็กนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวที่เมือง Karlovy Vary และภูมิภาค South Moravia (นอกจากการเดินทางมายังกรุงปราก) แต่ในปัจจุบันภูมิภาคดังกล่าวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 และคาดว่าคงจะใช้เวลากว่า 6 – 8 เดือนภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ที่สถานการณ์การท่องเที่ยวจะเข้าสู่สภาวะปกติ
ธุรกิจร้านอาหารเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก และคาดว่านับตั้งแต่การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ผู้ประกอบการร้านอาหารได้สูญเสียรายเฉลี่ยแล้วรายละ 81% จากสถิติพบว่า เมื่อสิ้นปี 2562 เช็กมีผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารและบริการ 21,592 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี เฉพาะในปี 2562 มีร้านอาหารใหม่เกิดขึ้นใหม่ 1,445 แห่ง และในปีเดียวกันมีร้านอาหารปิดตัวลง 621 แห่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางเป็นทุนเดิมของธุรกิจร้านอาหารอย่างชัดเจน แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการมีคำสั่งปิดร้านอาหารประเภทนั่งรับประทานภายในร้านตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน คาดว่าได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ประกอบการถึง 11,000 ล้านคอรูน่า และคาดว่าภายหลังการยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินผู้ประกอบการร้านอาหารประมาณ 50% จะไม่สามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้อีก
ด้านมาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเช็กเพื่อเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2563 รัฐบาลเช็กได้ออกกฎหมายเพื่อรองรับการใช้มาตรการกระตุ้นและเยียวยาทาง เศรษฐกิจเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง เช่น มาตรการด้านการปรับโครงสร้างทางการคลัง การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคากลางถึง 2 ครั้งในระยะเวลาเพียง 1 เดือน การจ่ายเงินชดเชยค่าเลี้ยงดูบุตร การเลื่อนระยะเวลาชำระภาษี การเยียวยาผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว และในขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการที่เกี่ยวข้องอีกเป็นจำนวนมาก เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี การค้ำประกันเงินกู้ การให้สินเชื่อปลอดดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการประเภทต่าง ๆ เช่น ผู้ประกอบการในกรุงปราก ผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการขนาดใหญ่ การให้เงินช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพอิสระและผู้ค้าเดี่ยว การเพิ่มเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสุขภาพ มาตรการเยียวยาสำหรับอุตสาหกรรมบันเทิง และกิจกรรมด้านวัฒนธรรมและการแสดง เพื่อให้มาตรการกระตุ้นและเยียวยาทางเศรษฐกิจครอบคลุมผู้ที่ได้รับผลกระทบให้มากที่สุด
ในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวรัฐบาลเช็กได้จัดสรรงบประมาณถึง 18% ของ GDP หรือคิดเป็นประมาณ 1.42 ล้านล้านคอรูน่า (1.85 ล้านล้านบาท) เพื่อใช้ในการดำเนินมาตรการเยียวยาต่อผลกระทบทาง เศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อเทียบกับสมาชิกในกลุ่มประเทศอียู และกระทรวงการคลังเช็กได้เสนอขอขยายโครงสร้างการขาดดุลงบประมาณ เป็น 4% ของ GDP ในปี 2564 และเสนอที่จะดำเนินนโยบายขาดดุลการคลังต่อเนื่องลดลงปีละ 0.5% ไปจนถึงปี 2570
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ว่า สถานะทางการเงินและการคลังของเช็กจะเข้าสู่สถานะก่อนการแพร่ระบาดของ โควิด-19 อย่างเร็วที่สุดคือในต้นปี 2565 แต่หากสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในภูมิภาคยุโรปยังคงไม่สามารถควบคุมได้ สถานะทางเศรษฐกิจของเช็กคงยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามที่คาดการณ์ไว้ และอาจต้องใช้เวลาถึง 8 ปีในการฟื้นตัวเพื่อกลับเข้าสู่สภาวะก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19
มาตรการกระตุ้นและเยียวยาทางเศรษฐกิจของเช็กมีความสอดคล้องกับมาตรการที่ประเทศสมาชิกอียูได้ประกาศใช้ และรัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการเร่งเยียวยาและช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อชะลอและประวิงเวลาการเลิกจ้างแรงงานให้ได้นานที่สุด และในปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ในเช็กเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ กอปรกับรัฐบาลเช็กได้ร่นระยะเวลาในการผ่อนคลายมาตรการควบคุมเร็วขึ้นประมาณ 2 สัปดาห์จึงมีแนวโน้มว่า เช็กจะเริ่มกลับเข้าสู่การดำเนินกิจกรรมตามชีวิตวิถีใหม่ (new normal) ได้เร็วกว่าประเทศอื่นในยุโรปอีกหลายประเทศ
นอกจากนั้นรัฐบาลยังได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการเฝ้าระวังและติดตามผู้ติดเชื้อ ซึ่งคาดว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในระลอกที่ 2 ภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และโดยที่เช็กเป็นประเทศในยุโรปที่เริ่มดำเนินนโยบายเข้มงวดและใช้มาตรการรุนแรงในการ lockdown ประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ โควิด-19 เป็นประเทศแรกๆ จึงได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ดังนั้นจากนี้ไปจะเป็นช่วงของการเร่งฟื้นฟูประเทศในด้านเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ประกอบการและคงต้องติดตามต่อไปว่า เช็กและไทยจะสามารถเกื้อหนุนซึ่งกันและกันในการปรับตัวและเร่งฟื้นฟูประเทศด้านเศรษฐกิจในยุคหลังโควิด-19 ได้อย่างไร