มติแก้ไขวิกฤติการบินไทย หรือบริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) ของกระทรวงคมนาคม ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และในฐานะกำกับดูแลกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มี2 เรื่องใหญ่เสนอต่อ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.)ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้แก่ 1. แก้มติกระทรวงการคลัง ลดสัดส่วนการถือหุ้นในการบินไทยต่ำกว่า 50% เพื่อให้สายการบินแห่งนี้ พ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ เพื่อเตรียมเดินสู่ กระบวนการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ล้มละลาย 2. เปลี่ยนมติจากการค้ำประกันเงินกู้ ระยะสั้น 5 หมื่นล้านบาท เป็นการยื่นศาลล้มละลายเข้าสู่กระบวน การล้มละลาย
ขณะ การปรับแก้แผนฟื้นฟูกิจการการบินไทย สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข. ) และการบินไทย หาทางร่วมกัน ตัดปัจจัยสี่ยง23 เรื่องออกไป อาทิ การคัดค้านการฟื้นฟู,การจัดซื้อจัดจ้าง ฯลฯ และฟันธงว่า การกู้เงินจากกระทรวงการคลัง วงเงิน 50,000 ล้านบาท อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด ทั้งนี้ นายชยธรรม์ พรหมศร ผู้อำนวยสนข.ย้ำว่า แผนฟื้นฟูการบินไทย ไม่มีความชัดเจนมีปัจจัยเสี่ยงหลายประเด็น เช่น แผนการสร้างรายได้ในอนาคต และหลังจากที่สนข.ศึกษามองว่าต้องมี “Action Plan” ที่ชัดเจน เพื่อให้การบินไทยอยู่รอด
อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาแผนได้มีการนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยกระบวนการศาล โดยอาจยื่นเข้าสู่ศาลล้มละลายกลาง เพื่อให้การบินไทยเริ่มต้นฟื้นฟูธุรกิจ โดยปราศจากภาระใช้หนี้สินที่เป็นปัญหาผูกมัดค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน รวมทั้งได้พิจารณาถึงขั้นตอนของการบังคับคดี ว่าจะมีเงื่อนไขหรือรูปแบบดำเนินการอย่างไร โดยวันที่ 21 พฤษภาคมนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ขีดเส้นตายว่าต้องเห็นแผนที่ปรับแก้โดยปราศจากความเสี่ยงทั้ง 23 เรื่อง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรองนายกรัฐมนตรีในฐานะกำกับดูแลกระทรวงคมนาคมระบุความคืบหน้า การประชุมแผนฟื้นฟูฯว่า อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ในส่วนของกระทรวงคมนาคม ซึ่งต้องหารือกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง เพื่อหาแนวทางที่ทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
รวมถึงผลการปรับปรุงแผนฟื้นฟูฯระหว่างสนข.กับการบินไทย ขณะการค้ำประกันเงินกู้ ยังไม่มีการตัดทิ้ง แต่ในที่สุดแล้ว อนาคตการบินไทยจะไปต่ออย่างไร ขึ้นอยู่กับครม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชี้ขาด
สะท้อนว่า การบินไทย น่าจะมีทางเลือกไม่มาก หลัง เกิดวิกฤติทางการเงินสะสมมาอย่างยาวนาน แต่มาทรุดหนักถึงขั้นจ่อล้มละลาย เร็วขึ้นมีสาเหตุมาจากการมาของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ปีนี้คาดการณ์ว่าการบินไทยจะมีหนี้สินเพิ่ม อีกไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาท เพราะ มีสถานะหยุดบิน สมทบกับ ภาระหนี้ปีที่ผ่านมา 245,447 ล้านบาท ผลประกอบการขาดทุนกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท (ข้อมูลณ วันที่ 31 ธันนวาคม 2562 ) ขณะรายจ่ายยังคงมีสูงต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมปีนี้ การบินไทย มีหนี้สินสูงกว่าทรัพย์สินทันที เนื่องจากปีที่ผ่านมา มูลค่าทรัพย์สิน ปริ่มน้ำสูงกว่าหนี้สินเพียง 1 หมื่นล้านบาท และนั่นหมายถึง หากการบินไทยไม่สามารถไปต่อได้ รัฐไม่อุ้มโดยค้ำประกันเงินกู้ให้ ทางออก คือการเดินเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ - ยื่นล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง ตามกฎหมาย ล้มละลาย พ.ศ.2483 แฮร์คัตหนี้เพื่อให้ สายการบินเดินต่อได้ ต่อเรื่องนี้ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สะท้อนว่า การบินไทยมีหนี้สินอยู่มาก และเมื่อ เจอ “โควิด-19” มา กระทบจึงเป็นเหตุให้ ไม่มีรายได้ขณะค่าใช้จ่ายยังมีต่อเนื่องโดยเฉพาะ เงินเดือนบุคลากร กว่า 2 หมื่นคน ,ภาระหนี้ที่ต้องชำระ คาดการณ์ว่าจะมีหนี้เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาทเข้ามาสมทบภาระหนี้ที่เกิดขึ้นอยู่ก่อน อย่างไรก็ตามคาดว่าการบินไทยจะยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอฟื้นฟูกิจการ เนื่องจากมีข้อดีต่อการบินไทยมากกว่า
ได้แก่ 1. ดำเนินกิจการต่อไปได้ 2. พักชำระหนี้ได้ เพราะเจ้าหนี้ไม่สามารถบังคับให้การบินไทยชำระหนี้
ช่วงฟื้นฟูกิจการได้ การบินไทยจึงมีเวลาที่จะฟื้นฟูกิจการได้ เช่น ลดฝูงบิน ปรับเปลี่ยนเส้นทาง ปรับเปลี่ยนวิธีจำหน่ายตั๋ว ลดจำนวนพนักงาน ลดเงินเดือนและสวัสดิการ เป็นต้น 3. เจรจาให้เจ้าหนี้ลดหนี้ลง ยืดระยะเวลาการชำระหนี้ และแปลงหนี้เป็นทุนได้
แต่อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการก็มีข้อเสียต่อการบินไทย และภาพรวมของประเทศ ดังนี้
1. ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูกิจการนาน2. สหกรณ์ออมทรัพย์ที่ซื้อหุ้นกู้จากการบินไทยอาจขาดสภาพคล่อง เนื่องจากไม่ได้รับดอกเบี้ยและเงินต้นคืนจากการบินไทยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง3. อาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของตลาดตราสารหนี้ (หมายถึงพันธบัตรที่หน่วยงานของรัฐขาย หรือหุ้นกู้ที่บริษัทเอกชนขาย)
ถ้าการฟื้นฟูกิจการไม่ประสบผลสำเร็จ ศาลฯ อาจมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ และเจ้าหนี้ของการบินไทยอาจร้องขอให้ศาลฯ มีคำสั่งให้การบินไทยล้มละลายก็ได้ โดยศาลฯ จะตั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มา จัดการชำระบัญชี รวบรวมทรัพย์สินทั้งหมด แล้วนำมาเฉลี่ยชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทุกคน ซึ่งในความเป็นจริงเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้คืนน้อยกว่าจำนวนหนี้จริงเป็นอย่างมาก แต่วิธีนี้ ก็ถือเป็น วิธีการสุดท้ายที่กฎหมาย จะสามารถบังคับเอากับการบินไทยได้
คงต้องจับตาแผนผ่าทางตัน การบินไทย ในครั้งนี้ว่าในที่สุดแล้วจะออกมาทางไหน คาดว่า เร็วๆ นี้ห้ามกะพริบตา
หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,575 วันที่ 17-20 พฤษภาคม พ.ศ. 2563