สมาคมวินาศภัยสนองนโยบายรัฐ ชู 4มาตรการช่วยผู้ถือกรมธรรม์

30 เม.ย. 2563 | 08:53 น.

สมาคมวินาศภัยสนองนโยบายรัฐ ออก4มาตรการช่วยเหลือผู้เอาประกัน- “อานนท์”เผยสำนักวิจัยฯคาด เบี้ยทั้งปีหดตัว 6.5- 17.2% ตามยอดขายรถยนต์ใหม่เดือนมีนาคมหดตัวกว่า 40%-ประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนจะปรับลดมาอยู่ที่ 1.4 - 1.7 %+

ตามที่ได้มีการเสนอแนวคิดในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา ให้บริษัทประกันภัยให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนซึ่งลดการใช้รถยนต์เนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และส่งผลทำให้อุบัติเหตุทางรถยนต์ลดลงนั้น
นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยได้มีการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 มาโดยตลอด และได้มีการประชุมหารือร่วมกับสำนักงาน คปภ. อย่างต่อเนื่องเพื่อร่วมกันกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้เอาประกันภัย โดยขณะนี้ได้มีการกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยรถยนต์แล้ว ดังต่อไปนี้
1. ผู้เอาประกันภัยที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว ผู้ประกอบการขนส่ง รวมถึงเจ้าของรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้งานในช่วงการระบาดนี้ สามารถแจ้งบริษัทประกันภัยเพื่อหยุดการใช้รถได้ โดยบริษัทประกันภัยจะคืนเบี้ยประกันภัยให้ในช่วงระยะเวลาที่แจ้งหยุดการใช้รถ หรือผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกให้บริษัทประกันภัยขยายระยะเวลาคุ้มครองออกไปตามระยะเวลาที่หยุดการใช้รถได้เช่นกัน
 2. ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกทำประกันภัยแบบระยะสั้นได้ ทั้งแบบรายวัน รายเดือน หรือรายไตรมาส เพื่อลดภาระในการชำระเบี้ยประกันภัย
    3. บริษัทประกันภัยได้รับอนุญาตจากสำนักงาน คปภ. ให้ลดเบี้ยประกันภัยรถยนต์ได้ต่ำกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยลดสูงสุดได้ถึง 30% ตามความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป
 4. บริษัทประกันภัยกำหนดให้ผู้เอาประกันภัยสามารถผ่อนชำระเบี้ยประกันภัยได้สูงสุดถึง 180 วัน

     นายอานนท์ วังวสุ ได้เปิดเผยต่อไปว่า การประกาศใช้เคอร์ฟิวและการรณรงค์ให้ประชาชนอยู่บ้านนั้น ส่งผลทำให้การเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ที่มีคู่กรณีในเดือนเมษายนลดลงประมาณ 30% อย่างไรก็ตาม การเกิดอุบัติเหตุที่มีคู่กรณีนี้มีสัดส่วนเพียง 1 ใน 3 ของเคลมทั้งหมด ในขณะที่เคลมที่ไม่มีคู่กรณี เช่น การเฉี่ยวชนเสาหรือประตูบ้านจะมีปริมาณถึง 2 ใน 3 ของเคลมทั้งหมด และในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายนนั้นเป็นช่วงที่ผู้เอาประกันภัยมีการแจ้งเคลมในลักษณะนี้สูงที่สุดในรอบปี เนื่องจากเป็นช่วงที่โรงเรียนปิดภาคเรียน และในปีนี้ มาตรการการทำงานที่บ้านส่งผลให้เคลมในลักษณะนี้เพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
เนื่องจากการคิดคำนวณเบี้ยประกันภัยนั้นจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของผู้เอาประกันภัยในการขับขี่และการเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้น หากผู้เอาประกันภัยมีความถี่ในการใช้รถน้อยลงเนื่องมาจากมาตรการเคอร์ฟิวและการรณรงค์ให้อยู่บ้าน และไม่เกิดอุบัติเหตุในปีที่ทำประกันภัย เมื่อผู้เอาประกันภัยต่ออายุกรมธรรม์ในปีถัดไป ก็จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยประวัติดีตั้งแต่  20-50% ซึ่ง จำนวนผู้เอาประกันภัยที่จะได้รับส่วนลดเบี้ยประวัติดีในปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน หากพิจารณาจากสถิติการเกิดอุบัติเหตุที่ลดลงถึง 30% ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ ยังคงต้องดูสถิติการเกิดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นภายหลังมีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ด้วยว่าจะยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา ได้มีการปรับเพิ่มความคุ้มครองสำหรับประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับและภาคสมัครใจในกรณีการเสียชีวิตและทุพพลภาพ จาก 3 แสนบาทเป็น 5 แสนบาท ซึ่งในการปรับเพิ่มความคุ้มครองนี้ ทางภาคธุรกิจไม่ได้มีการปรับเบี้ยประกันภัยขึ้นแต่อย่างใด และคาดว่าจะส่งผลให้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีดังกล่าวเพิ่มขึ้นประมาณ 3 พันล้านบาท
 

ในส่วนของภาพรวมธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2563 นั้น นายอานนท์กล่าวว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 อย่างแน่นอน โดย IMF ได้คาดการณ์ว่า GDP ของไทยในปี 2563 จะหดตัวสูงถึง 6.7% ซึ่งเป็นการหดตัวมากที่สุดของประเทศในกลุ่มอาเซียน ฉะนั้น จึงคาดว่าเบี้ยประกันวินาศภัยในปีนี้จะหดตัวลงอย่างน้อย  3% ในขณะที่สำนักวิจัยและสถิติ บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่า เบี้ยประกันวินาศภัยในปีนี้จะหดตัวลง  6.5- 17.2% โดยการวิเคราะห์ดังกล่าวได้พิจารณาจากปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้อง อาทิ การลดลงของยอดขายรถยนต์ใหม่ในเดือนมีนาคมที่ลดลงกว่า 40% สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนของธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2563 นั้น คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 1.4 - 1.7 %และจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจประกันวินาศภัยเป็นอย่างมาก 
     นายอานนท์ได้กล่าวสรุปว่า ถึงแม้สถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกและระบบเศรษฐกิจไทย แต่ขอให้มั่นใจได้ว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยไทยยังคงทำหน้าที่ในการเป็นผู้บริหารความเสี่ยงมืออาชีพให้กับภาครัฐและเอกชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยอย่างเต็มความสามารถ