คำสั่งให้แต่ละหน่วยงานของกระทรวงคมนาคม ตัดงบประมาณปี 2563 ลง 10% เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 นั้น เป็นเรื่องที่ดี แต่กลับกันอาจส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเม็ดเงินลงสู่ระบบฐานรากได้น้อยลงภายในปีนี้
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ทล.อยู่ระหว่างปรับลดงบประมาณโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นงบรายการใหม่ ราว 5% รวมถึงโครงการดำเนินการปีเดียว ที่คาดว่าเซ็นสัญญาไม่ทันภายใน 31 พฤษภาคม 2563 จำนวน 20 โครงการ จากโครงการทั้งหมดจำนวน 4,000 โครงการ
แม้ว่ากระทรวงคมนาคมสั่งตัดงบประมาณปี 2563 ราว 10% ซึ่งอาจจะกระทบโครงการของปีงบ 2564 บ้าง เนื่องจากทล.จะมีการปรับงบประมาณปี 2564 แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่
“ขณะนี้เรายังให้ข้อสรุปไม่ได้ ว่าจะเป็นโครงการใดบ้างที่ถูกปรับลดในปีงบ 2563 ซึ่งอยู่ระหว่างการประสานงานกับสำนักงบประมาณ ว่าจะตัดบางโครงการออกหรือปรับลดงบประมาณโครงการที่ผูกพัน แต่เราก็ยืนยันไม่อยากตัดโครงการใดออกเช่นกัน ขณะเดียวกันกระทรวงคมนาคมตั้งเป้าเบิกจ่ายงบปี 2563 ได้เต็ม 100% ซึ่งขณะนี้ยังมีระยะเวลาราว 6 เดือน เราจะพยายามเต็มที่เพื่อเบิกจ่ายงบปี 2563 ได้เต็ม 100%”
รายงานข่าวจากกรมทางหลวง (ทล.) สะท้อนว่า ในส่วนของทล.เป็นการปรับลดวงเงินของโครงการขนาดใหญ่ ราว 5% ของแต่ละโครงการ แต่ไม่ได้ตัดโครงการดังกล่าวออก แต่จะตัดโครงการปีเดียวบางโครงการที่ประกวดราคาไม่ทันในวันที่ 7 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานบูรณาการและงานซ่อมบำรุง เช่น โครงการพัฒนาทางหลวง หมายเลข 227 ตอนกาฬสินธุ์-แยกดงแหลม จังหวัดกาฬสินธุ์ วงเงิน 25 ล้านบาท โครงการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรและขนส่ง ทางหลวง หมายเลข 2350 ตอนหนองหาน-กุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี วงเงิน 25 ล้านบาท
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) กล่าวว่า ทช.อยู่ระหว่างการหารือกับสำนักงบประมาณ เพื่อยื่นอุทธรณ์โครงการงบปี 2563 ของ ทช. ในหลักการเบื้องต้นสำนักงบประมาณปรับลดงบประมาณปีแรก จำนวน 5% แต่จะไม่ตัดงบผูกพัน ขณะเดียวกันโครงการที่ถูกปรับลด 5% ยังสามารถดำเนินการต่อได้
ทช.มีหลายโครงการที่ชะลอมากกว่า 20 โครงการ โดยส่วนใหญ่แต่ละโครงการของ เราเป็นงานบำรุง จำนวน 9-10 ล้านบาท”
นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า สำหรับโครงการของ รฟท. ที่อาจลงนามเซ็นสัญญาไม่ทันกลางปีนี้ คือ โครงการรถไฟทางคู่เส้นทางบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม วงเงิน 66,848 ล้านบาท เนื่องจากยังไม่ได้ดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อเวนคืนที่ดิน
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า โครงการที่อาจได้รับผลกระทบคือ โครงการรถ ไฟฟ้าในต่างจังหวัดซึ่งอยู่ในขั้นตอนการขออนุมัติเพื่อเปิดประมูลในปี 2563 และ 2564 ได้แก่ รถไฟฟ้ารางเบา (Tram) จังหวัดภูเก็ต วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท, รถไฟฟ้ารางเบาจังหวัดเชียงใหม่ วงเงิน 2.7 หมื่นล้านบาท และรถไฟฟ้ารางเบา จังหวัดนครราชสีมา วงเงิน 8,000 ล้านบาท
หน้า 5 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,568 วันที่ 23-35 เมษายน พ.ศ. 2563