หุ้นCRC เซ่นโควิด ดิ่ง50%จากราคาไอพีโอ

23 มี.ค. 2563 | 12:33 น.

หุ้น CRCเซ่นโควิด ดิ่ง50%จากราคาไอพีโอ ผลจากการปิดห้างและยอดขายในอิตาลีหาย 75%  ด้านบล.บัวหลวง คงคำแนะนำ" ซื้อ" เหตุราคาสะท้อนข่าวลบ และ P/E ที่ 18.8 เท่า ต่ำสุดในกลุ่มค้าปลีก


หุ้นบริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ CRC ปิดตลาด เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563  ร่วงลง 3.70 บาทหรือ -14.98% อยู่ที่ 21.00 บาท  ซึ่งเป็นระดับราคาต่ำสุด นับจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 และต่ำกว่าไอพีโอ 42.00 บาท ถึง 50%  โดยราคาสูงสุดระหว่างวันอยู่ที่ 21.50 บาท ก่อนจะดิ่งต่ำสุดและปิดที่ 21.00 บาท ซึ่งเป็นผลจากความกังวล หลังมีมาตรการปิดศูนย์การค้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงบางสาขาในต่างจังหวัด ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค.-12 เม.ย.63 รวม 22 วัน นอกจากนี้ CRC ยังได้รับผลกระทบจากห้าง La Rinascente ในอิตาลี ซึ่งถูกสั่งปิดจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 เช่นกัน 

อย่างไรก็ดี บล.บัวหลวง คงคำแนะนำซื้อหุ้น CRCให้ราคาเป้าหมาย 42.00 บาท (อัพเดตเมื่อ 23 มี.ค.63)เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นสะท้อนข่าวร้ายไปมากแล้ว โดยราคาหุ้นปรับตัวลงมากถึง 50% จากราคา IPO  สะท้อนความกังวลของตลาดต่อผลกระทบของไวรัสโควิด  ราคาที่ปรับตัวลงมานั้นเทรดอยู่ระดับ P/E Ratio ที่ 18.8 เท่า ต่ำสุดในกลุ่มค้าปลีกบนสมมมติฐานคาดการณ์ EPS ปี 2563 ปรับตัวลดลง 42% YoY (กำไร -26%) 

คาดยอดขายในอิตาลีหายไป 75%, hardline SSS ลบ 6.5% (ซึ่ง YTD ยังบวก) สิ่งที่ตลาดยังไม่ได้คำนึงถึงเลยคือ ) อาหารซึ่งคือ 40% ของรายได้ ยังเติบโตได้ดีมี SSS เป็นบวก 2) การทำ online sales และ delivery วันนี้ที่บริษัทตัวใหญ่อื่นๆ เพิ่งเริ่มมาทำกันจริงจัง แต่CRCเป็น first mover ทำมาแล้ว 3 ปี ปีนี้น่าจะเกินเป้าที่ตั้งไว้ 10% ของรายได้จาก omni-sales 3)หนี้น้อย-ฐานะการเงินแข็งแกร่ง, และ 4) ต้นทุนและค่าใช้จ่ายผันแปร สูงถึง 85% การจะลดต้นทุน-ค่าใช้จ่ายยังทำได้

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ระบุว่าการสั่งปิดห้างสรรพสินค้าทั่วเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยกเว้นให้เปิดเฉพาะโซนซุปเปอร์มาร์เกต ร้านยา และร้านอาหารที่ซื้อกลับบ้าน ส่วนตลาดสดให้ปิดเช่นกัน ยกเว้นของสดของแห้งที่ให้ขายได้ ระหว่างวันที่ 22 มี.ค.-12 เม.ย.63 รวม 22 วัน เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้น 

ประเมินว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการค้าปลีกที่ไม่ได้จำหน่ายสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน ได้แก่ HMPRO, ILM, BEAUTY และ COM7 ซึ่งในเบื้องต้น ฝ่ายวิจัย ASP ประเมินว่าผู้ประกอบการเหล่านนี้ ต้องปิดสาขาในพื้นที่ดังกล่าว ราว 36 สาขา, 19 สาขา , 127 สาขา และ 227 สาขา จากที่มีทั้งหมด 113 สาขา, 37 สาขา, 318 สาขา และ 757 สาขา ตามลำดับ

ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯ ทบทวนสมมติฐานใหม่จากคาดการณ์ผลกระทบดังกล่าวคือ 1.กำหนดยอดขายสาขาเดิมของสาขาและรายได้จากพื้นที่เช่าในพื้นที่ดังกล่าวลดลงจากประมาณการเดิม1 เดือน, 2. ให้ COM7 ที่มีช่องทางออนไลน์พร้อมที่สุดและผลบวกสินค้าไอที ที่กำลังเป็นที่ต้องการจากกระแส Work from Home หนุนยอดขายจากช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นจากฐานต่ำ 100% และ3.ปัจจัยลบเฉพาะตัวของ ILM ในเรื่องจำนวนสาขาใหม่เดิมตํ่ากว่าคาด และ การปิดสาขาเดิม BEAUTY ที่มากกว่าแผนเดิม และการขายต่างประเทศที่แย่กว่าคาด 

ทำให้ได้กำไรของ HMPRO, ILM, BEAUTY และ COM7 ลดลงจากเดิม 4.3%, 5.9%, 22.5% และ 2.5% ตามลำดับ โดยรวมแล้วคิดเป็นผลกระทบต่อกำไรกลุ่มค้าปลีกไม่มากราว 0.9% แต่ภาพรวมระยะสั้นให้หลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นดังกล่าวไปก่อน ส่วน CRC ฝ่ายวิจัยฯอยู่ระหว่างจัดทำบทวิเคราะห์

ขณะที่ภายหลังการปรับปรุงประมาณการในทางพื้นฐาน  ยังคงคำแนะนำ ซื้อ HMPRO ราคาเหมาะสม 13.3 บาท และ COM7 ราคาเหมาะสม 27.1 บาท ทั้งนี้ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว ทุกๆ 1 เดือนหากมาตรการขยายออกไป จะกระทบกำไรและมูลค่าพื้นฐาน สำหรับตัวเลือกการลงทุนที่แนะนำในกลุ่มค้าปลีก เป็นผู้จำหน่ายสินค้าจำเป็นที่น่าจะได้ประโยชน์ชัดเจน คือ CPALL ราคาเหมาะสม 80 บาท ในทางพื้นฐานยังแนะนำ ซื้อ รวมทั้งแนะให้เก็งกำไร MAKRO ราคาเป้าหมาย 36บาท ที่ยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน ส่วน BJC ราคาเหมาะสม 40 บาท ฝ่ายวิจัยฯแนะนำ Switch เนื่องจากราคาหุ้นสูงเกินพื้นฐาน