รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า หลังจากตลาดหุ้นไทยหยุดการซื้อขายเป็นการชั่วคราว (เซอร์กิตเบรกเกอร์) ครั้งที่ 1 ระยะเวลา 30 นาที ตั้งแต่เวลา 14:38 ถึง 15:08 น. ดัชนีหุ้นไทยยังคงปรับลดลงต่อเนื่อง โดยลดลงไปต่ำสุด 153.36 จุด หรือ 12.26% อยู่ที่ 1,096.53 จุด และ ณ เวลา 15.44 น. อยู่ที่ 1,100.32 จุด ลดลง 149.57 จุด หรือ 11.97% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 80,148.25 ล้านบาท
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส (ASP) ระบุ หากวิเคราะห์สถิติในอดีต พบว่าหลังจากเกิด Circuit Breaker ทั้ง 3 ครั้ง (ธ.ค. 2549, ต้นต.ค. 2551,ปลาย ต.ค. 2551) SET Index ฟื้นขึ้นต่อเนื่องทุกครั้ง โดยเฉพาะ 1 สัปดาห์หลังจากนั้น SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 10.3% (1 สัปดาห์ให้หลัง ธ.ค. 2549 เพิ่มขึ้น 10.7%, ต้นต.ค. 2551 เพิ่มขึ้น 4.3% ,ปลาย ต.ค. 2551 เพิ่มขึ้น 15.9%)
ขณะที่ปัจจุบันตลาดปรับฐานตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน มาแล้วกว่า ลดลงมากที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก (ข้อมูลจาก Bloomberg เปรียบเทียบดัชนีทั้งหมด 94 ตลาด) ซึ่งลดลงมากกว่าคาดการณ์กำไรต่อหุ้( EPS ) ปี 63 ที่ฝ่ายวิจัย ASP ปรับประมาณการลดลง 14.6% มาอยู่ที่ 79.62 บาท/หุ้น เพื่อสะท้อนประเด็นไวรัสโคโรนา ( COVID-19) และการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC มาอยู่ที่ 8.54 แสนล้านบาท (ลดลง 8.75% จากปีก่อนหน้า)
ดังนั้นการปรับฐานแรงของตลาด ณ ปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่ามีแรงขายจากความกังวลผสมเข้าไปพอสมควร ทำให้เชื่อว่า หากปัจจัยกดดันต่างๆ เริ่มคลี่คลาย รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีการจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้นขึ้นมา น่าจะช่วยให้ตลาดยังมีความหวังฟื้นตัวดังสถิติในอดีตตามสมควร