ปั้นแบรนด์ แฮปปี้ช้อปปิ้ง  บุกทีวีโฮมช็อปปิ้ง

22 ก.พ. 2563 | 02:20 น.

ตลาดทีวีโฮมช็อปปิ้งคึกคัก จับตาน้องใหม่มาแรงHappy Group” ซุ่มทำตลาด 7 เดือนเศษโกยรายได้กว่า 185 ล้านบาท ผ่านทางช่องเนชั่น 22 ประกาศชูกลยุทธ์ Customer Centric รุกต่อ พร้อมจับมือพาร์ตเนอร์ดันยอดขายทะลุ 1,000 ล้านบาทใน 3 ปี

ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้ธุรกิจทีวีโฮมช็อปปิ้งกลายเป็นกระแสนิยม ด้วยเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกและสินค้าที่หลากหลาย แนวโน้มการเติบโตและขยายตัวจึงมีต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้ประกอบการรายใหม่เกิดขึ้นและประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นคือ Happy Group ที่สามารถทำรายได้กว่า 185 ล้านบาท ในช่วงเวลาเพียง 7 เดือนเศษเท่านั้น

นางสาวอภิรวี พิชญเดชะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฮปปี้ โปรดักส์ แอนด์เซอร์วิส จำกัด หรือ Happy Group ผู้บริหารโฮมช็อปปิ้ง ภายใต้ชื่อแฮปปี้ช้อปปิ้ง” (Happy Shopping) เปิดเผยว่า แฮปปี้ช้อปปิ้งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยกลยุทธ์ Customer Centric เพื่อตอบโจทย์ตลาดที่ยังมีช่องว่าง นั่นคือการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการตรงใจกลุ่มเป้าหมายวัย Gen-X และ Baby bloomer เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทมองว่าลูกค้ากลุ่มผู้สูงอายุมีจำนวนมากและมีอัตราการขยายตัวเพิ่ม รวมทั้งที่สำคัญคนกลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูง ประกอบที่ผ่านมาบริษัทได้พาร์ตเนอร์ที่ดีอย่างช่องทีวีดิจิทัล Nation 22 เข้ามาร่วมถือหุ้น 50% จึงทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าและมีฐานลูกค้าที่ชัดเจน

ปั้นแบรนด์ แฮปปี้ช้อปปิ้ง  บุกทีวีโฮมช็อปปิ้ง

อภิรวี พิชญเดชะ

“เป้าหมายดังกล่าวสอดรับฐานผู้ชมทีวีดิจิทัลช่อง Nation 22 จึงทำให้เกิดการตลาดรูปแบบ ถูกที่ ถูกเวลา ถูกกลุ่มเป้าหมาย และสามารถครองใจลูกค้าในปัจจุบันได้กว่า 1 แสนราย โดยกว่า 50% เป็นกลุ่มลูกค้าวัย 60 ปีขึ้นไป ทั้งนี้สามารถปิดยอดขายได้ประมาณ 185 ล้านบาทในช่วงเวลา 7 เดือน และพบว่าลูกค้าเดิมราว 4,000 รายกลับมาซื้อสินค้าซ้ำ และจากตัวเลขยอดขายรวมถึงการเติบโตที่เกิดขึ้นบริษัทเชื่อว่าเดินมาถูกทาง ทำให้ตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้กว่า 1,000 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งการตลาด 10% ภายในระยะเวลา 3 ปี

ปั้นแบรนด์ แฮปปี้ช้อปปิ้ง  บุกทีวีโฮมช็อปปิ้ง


 

 

ปั้นแบรนด์ แฮปปี้ช้อปปิ้ง  บุกทีวีโฮมช็อปปิ้ง

โดยบริษัทมุ่งเน้นสินค้า House Brand ใน 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.Happy Life กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและบิวตี้ เช่น วิตามิน ผัก ผลไม้ คอลลาเจน ฯลฯ 2.Thai Wisdom by Happy สินค้าภูมิปัญญาไทย OTOP เช่น กาแฟชุมชน 4 ดอย หรือแบรนด์ 4Valleys เป็นต้น 3.Happy Experience บริการท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ระดับโลก การท่องเที่ยวแสวงบุญ เป็นต้น ขณะเดียวกันบริษัทยังได้พาร์ตเนอร์กลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภครายใหญ่ ซึ่งเข้ามาร่วมงานกันในครึ่งปีหลัง

ด้านแผนการตลาดในปีนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญด้านการรักษาลูกค้าที่ยั่งยืน โดยยึดหลักการเลือกสินค้าให้แม่นและเจาะกลุ่มที่ใช่ โดยนำเสนอสินค้าคุณภาพให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่เน้นสินค้าทั่วไปแต่ต้องเป็นสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาของวัยและมีการซื้อซ้ำต่อเนื่อง ส่วนในเรื่องของแผนการตลาดบริษัทจะให้ความสำคัญทั้งช่องทางออฟไลน์ 80% ออนไลน์ 10% และ Outbound 10% จากเดิมที่เคยให้ความสำคัญในช่องทางออฟไลน์กว่า 90% นอกจากนี้จะเพิ่มพันธมิตรธุรกิจทีวีดิจิทัล อาทิ ONE 31, ไทยรัฐทีวี 32 และอมรินทร์ทีวี 34 นอกเหนือจากช่อง Nation 22 ที่มีอยู่เดิม รวมทั้งเพิ่มช่องทางการเช่าเวลาในโฆษณา 10 นาทีและสปอต 2 นาที เพื่อขยายการรับรู้ไปสู่กลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น

ขณะที่ช่องทางออนไลน์จะนำเสนอผ่านเว็บไซต์บริษัท www.happyshopping2you.com ซึ่งมีรูปแบบการซื้อขายใช้ง่าย สินค้าหลากหลาย โดยวางเป้าหมายจำหน่ายสินค้าบนเว็บไซต์กว่า 2,000 รายการภายในปีนี้ รวมทั้งสื่อสารผ่านเว็บไซต์ข่าวในเครือเนชั่นทั้งหมด และให้ความสำคัญโซเชียล คอมเมิร์ซ เช่น Facebook, Line มากขึ้นด้วย

 

จากการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา บริษัทพบบางอย่างที่น่าสนใจ นั่นคือในโลกโซเชียลมีเดียนั้นสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้สูงอายุได้มากกว่าที่คิด พิสูจน์ได้จากฐานลูกค้าที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปใช้แอพพลิเคชัน Line ในการสั่งซื้อสินค้าและสอบถามรายละเอียดต่างๆ ของสินค้า และในสัดส่วน 7-8% จากยอดขายรวมมาจากช่องทาง Line เช่นกัน นอกจากนั้นยังมุ่งกระจายสินค้าและบริการไปยังช่องทาง Marketplace เช่น Shopee และ Lazada”

ทั้งนี้ด้วยการเติบโตที่รวดเร็วที่ผ่านมาผนวกกับความมุ่งมั่นที่จะรุกช่องทาง Omni Channel และการพัฒนาคัดสรรสินค้าและบริการที่ตรงใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายให้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10 สินค้าต่อเดือน รวมถึงการมีทีมงานคนรุ่นใหม่ บริษัทคาดว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายได้ 530 ล้านบาท เติบโต 186% และมีจำนวนลูกค้าสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นกว่า 200%

สำหรับธุรกิจโฮมช็อปปิ้งมีมูลค่าตลาดรวม 1.4 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมามีการเติบโต 7-8% โดยคาดว่าในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นที่มีสินค้าคุณภาพ ราคาเหมาะสม จัดส่งถึงบ้านและสามารถจ่ายเงินเมื่อได้รับสินค้า หรือที่เรียกว่า COD (Cash on Delivery) ทำให้ผู้บริโภคไว้วางใจและเชื่อมั่นในการใช้บริการ

หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,550 วันที่ 20-22 กุมภาพันธ์ 2563