DRT ยกระดับสู่ ‘Smart Factory’

01 ธ.ค. 2562 | 10:47 น.

สัมภาษณ์

ท่ามกลางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวในปัจจุบัน ทำให้หลายธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เพราะพื้นฐานที่แข็งแกร่งเท่านั้น จะทำให้ผ่านวิกฤติไปได้ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย ในปี 2562 ที่ผลการดำเนินงานออกมาส่วนใหญ่ค่อนข้างอ่อนแอ หากไม่มีการปรับแผนการดำเนินงานก็จะแข่งขันได้ยาก ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย แต่บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) (DRT)” ภายใต้การบริหารของสาธิต สุดบรรทัดกลับสวนกระแสพาบริษัทเติบโตอย่างโดดเด่นได้

สาธิต สุดบรรทัด

สาธิต สุดบรรทัดประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DRT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ปี 2562 สามารถผลักดันการเติบโตสูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งบริษัท โดยมีกำไรสุทธิ 474.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 335.21 ล้านบาท และสูงกว่าภาพรวมกำไรสุทธิในปี 2561 ที่ทำได้ 422.85 ล้านบาท มาจากความสำเร็จของการบริหารจัดการด้านต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 95% ช่วยรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย 25-27%

 

 

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้บริษัทมั่นใจว่าจะรักษาอัตราการเติบโตในระดับเดียวกับช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา จากการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตต่อหน่วยที่มีประสิทธิภาพ การทำตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง การบริหารโปรดักต์มิกซ์มุ่งเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ประกอบกับคำสั่งซื้อสินค้าในเดือนตุลาคมที่ผ่านมายังคงอยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะส่งผลดีต่อเป้าหมายในปีนี้เติบโตตามที่วางแผนไว้

สำหรับตลาดวัสดุก่อสร้างในปี 2562 มองว่ามีการแข่งขันกันในด้านการพัฒนาขีดความสามารถด้านการให้บริการและคุณภาพผลิตภัณฑ์ แทนการใช้กลยุทธ์ราคาสินค้าหรือทำโปรโมชันส่งเสริมการขาย เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค เนื่องจากปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบหลายรายการปรับเพิ่มขึ้น และผู้ประกอบการไม่อยากปรับราคาสินค้า เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถการแข่งขันในภาวะที่ตลาดวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี

“ตลาดวัสดุก่อสร้างในปีนี้คึกคักขึ้น แต่สิ่งที่ท้าทาย คือการบริหารจัดการต้นทุนเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภคจากการปรับขึ้นราคาสินค้า ที่จะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถการแข่งขันในการทำตลาด ดังนั้นนอกจากผู้ประกอบการจะหันมาลดการแข่งขันด้านสงครามราคาแล้ว ประเมินว่าจะหันมามุ่งเน้นงานด้านบริการควบคู่กับการชูคุณภาพสินค้ามาเป็นแนวทางการทำตลาดเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

นอกจากนี้ ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีได้เข้ามีบทบาทมากขึ้น DRT ได้เดินหน้าลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตภายในโรงงาน โดยติดตั้งระบบโรบอตในไลน์การผลิตสินค้าครอบหลังคา จากนั้นยังวางแผนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระยะยาว ด้วยการเตรียมแผนงานลงทุน 5 ปี ทยอยติดตั้งโรบอตภายในโรงงานเพิ่มเป็น 50 ตัว เพื่อยกระดับเทคโนโลยีการผลิตก้าวสู่โรงงานSmart Factory” ที่ใช้เทคโนโลยีจักรกลเข้ามาทดแทนแรงงานบางส่วนอีกด้วย

ขณะเดียวกันได้ใช้โอกาสในช่วงไตรมาส 3 ที่เป็นช่วงโลว์ซีซันของการขายสินค้าตลาดวัสดุก่อสร้าง เร่งผลิตสินค้าและเพิ่มสินค้าคงคลัง เพื่อเตรียมพร้อมกับฤดูการขายสินค้ารอบใหม่ที่จะมาถึงในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2563 หลังจากประเมินว่าตลาดวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากสัญญาณความต้องการใช้สินค้าเพื่อปรับปรุงและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยให้อยู่ในสภาพที่ดี ตลอดจนอาคารที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งล่าสุด ด้านกลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ และช่องทางโมเดิร์นเทรดหรือห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ ยังได้มีการลงทุนพัฒนาโครงการและขยายสาขาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,527 วันที่ 1-4 พฤศจิกายน 2562

                    DRT ยกระดับสู่ ‘Smart Factory’