คำต่อคำ“ธนาธร”อัลไซเมอร์? ย้ำแล้วย้ำอีก“จำไม่ได้”ปมโอนหุ้นสื่อ

18 ต.ค. 2562 | 06:56 น.

 

คำต่อคำ
“ธนาธร”อัลไซเมอร์?
ย้ำแล้วย้ำอีก“จำไม่ได้”
ปมโอนหุ้นสื่อ


 
วันนี้ (18ต.ค.62) ตุลาการรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยความเป็นส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) เนื่องจากถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดีย  เข้าลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.หรือไม่ 

โดยศาลเริ่มต้นอธิบายถึงการไต่สวนพยานทั้ง 10 ปาก ว่า ต้องการทราบว่า การโอนหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย ของนายธนาธรให้กับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ (มารดา) เกิดขึ้นในวันที่ 8 ม.ค.62  ตามที่นายธนาธรอ้างเป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้หรือไม่  โดยพยานทั้ง 10 ปาก เป็นทั้งพยานที่รู้เห็นคือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ กับพยานที่เกี่ยวข้องคือพยานที่จะไปดำเนินการต่อหลังการโอนหุ้น 

จากนั้นศาลได้เบิกตัวนายธนาธร ขึ้นเป็นพยานปากแรก โดยศาลได้ซักในเรื่องของการเปลี่ยนชื่อบริษัท การประกอบธุรกิจสื่อของบริษัทวี-ลัค มีเดีย และถ้าจะเลิกบริษัทต้องไปจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานหรือไม่ ซึ่งนายธนาธร ชี้แจงว่า 


“มีการโอนหุ้น 675,000 หุ้นให้กับนางสมพรวันที่ 8 ม.ค.62 โดยก่อนจะชื่อบ.วี-ลัค มีเดีย เคยใช้ชื่อบ.โซอิด ส่วนจะถือว่าบริษัทประกอบกิจการสื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตีความ แต่ยืนยันว่าไม่เคยเข้าไปบริหารหรือทำธุรกรรมใดๆเป็นเพียงผู้ถือหุ้น และหลังจดทะเบียนตั้งบริษัทแล้ว การดำเนินธุรกิจซึ่งต้องอนุญาตตามพ.ร.บ.การพิมพ์ ก็เป็นเรื่องที่กรรมการบริหารจะจัดการ ผมไม่เคยเข้าไปรู้เห็นเกี่ยวข้องเลย  ผมเพิ่งเข้ามาในระหว่างทางคือช่วง 4-5 ปี เนื่องจาก หลังแต่งงาน มารดาอยากให้ลูกหลานและสะใภ้มีงานทำ  โดยนางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยาของผม ซึ่งเคยลาออกจากงานในธนาคารมาเลี้ยงลูก  เมื่อลูกเติบโตขึ้นทำให้ภรรยาของผมว่างงาน  นางสมพรจึงชวนให้เข้ามาบริหารบริษัทวี-ลัคมีเดีย  จึงเป็นที่มาของการซื้อหุ้น ส่วนหลังเลิกกิจการวี-ลัคมีเดียแล้วต้องไปจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานการพิมพ์นั้น ตนไม่ทราบหลักการ และไม่เคยยุ่งกับกิจการบริษัทนี้” 


จากนั้น ศาลซักถามถึงเหตุผลในการกำหนดให้วันที่ 8 ม.ค.62  เป็นวันโอนหุ้นทั้งที่ในวันดังกล่าวมีภารกิจหาเสียงใน จ.บุรีรัมย์   นายธนาธร กล่าวว่า “วันดังกล่าวไม่ใช่เป็นวันพิเศษอะไร  ครอบครัวของผมมีบริษัทจำนวนมาก พอสนใจที่จะเข้ามาทำงานการเมือง จึงลาออกจากทุกตำแหน่งในภาคธุรกิจเริ่มต้นตั้งในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 ทั้งนี้ขอยืนยันว่า จำไม่ได้จริงๆว่า มีตารางนัดลงพื้นที่หาเสียงก่อน หรือนัดเซ็นโอนหุ้นก่อน แต่ผมมีปฏิทินการทำงานว่าช่วงใดจะลงพื้นที่ภาคใด  และโดยปกติผมสามารถทำงาน 2 อย่างได้ภายในวันเดียวกัน ตอนทำงานในภาคธุรกิจทำงานหนักกว่านี้ ทั้งนี้ ในการเดินทางไปหาเสียงที่จ.บุรีรัมย์แล้วต้องกลับมาเซ็นโอนหุ้นที่กรุงเทพฯ  เดิมผมวางแผนจะนั่งเครื่องกลับจากจ.อุบลราชธานี  แต่เวลาที่ใช้ในการเดินทางจาก จ.บุรีรัมย์ไปจ.อุบลฯ ต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง เมื่อรวมกับเวลานั่งเครื่องบิน จึงเห็นว่าใช้เวลาไม่ต่างจากการขับรถกลับบ้านโดยตรง อีกทั้งผมเป็นคนที่หลับง่ายในรถยนต์  เมื่อขึ้นรถแล้วหลับเลย หากต้องขึ้นเครื่องบินจะต้องพบเจอและทักทายผู้คน อาจทำให้ไม่ได้พักผ่อน และไม่เป็นส่วนตัว ผมจึงยอมนั่งรถดีกว่า โดยออกจากจ.บุรีรัมย์ในเวลา 11.00 น. และนั่งรถยนต์มากลับนายชัยสิทธิ์ กล้าหาญ คนขับรถเพียง 2 คน ไม่มีพยานอื่นๆ เดินทางกลับมาด้วย โดยผมหลับมาตลอดทาง ระหว่างการเดินทางไม่ได้โทรศัพท์พูดคุยหรือติดต่อกับใครเลย เพราะได้นัดหมายกับทนายความไว้แล้วในเวลา 17.00 น. โดยเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ประจำ คือ หมายเลข 081 822 xxxx ทั้งนี้ระหว่างที่อยู่ในจ.บุรีรัมย์ได้ใช้โทรศัพท์คุยกับใครบ้างหรือไม่นั้น ผมจำไม่ได้” 
 

                    คำต่อคำ“ธนาธร”อัลไซเมอร์? ย้ำแล้วย้ำอีก“จำไม่ได้”ปมโอนหุ้นสื่อ


นายธนาธร ยอมรับว่า ระหว่างการเดินทางมีข้อเท็จจริง 2 จุด คือรถยนต์ฮุนได หมายเลขทะเบียน 8839 ถูกจับความเร็วที่นางรอง และอ.คลองหลวง ก่อนจะถึงบ้านพักเลคไซด์วิลล่า ซึ่งเป็นจุดนัดทำสัญญาโอนหุ้นวีลัคมีเดีย ในเวลา 16.00 น. เมื่อกลับถึงบ้านก่อนเวลานัด จึงได้ไปทักทายภรรยาและทนายความ รอจนถึงเวลานัด 17.00 น. เมื่อนางสมพร  นางลาวัลย์ จันทร์เกษม นางกานต์ฐิตา อ่วมขำ และนายณัฐนนท์ อภินันท์ ทนายความ เดินทางมาถึงแล้ว จึงเซ็นโอนหุ้นโดยผมรับรู้เฉพาะส่วนของการเซ็นโอนหุ้นเท่านั้น ตัวพยานไม่แน่ใจว่าแม่หรือทนายความเป็นผู้สั่งการให้ดำเนินการ  หลังจากการเซ็นโอนหุ้นยืนยันว่าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอีกเลยจนสมัครรับเลือกตั้ง  

ต่อมาศาลซักถามถึงเงินที่ได้รับจากการโอนขายหุ้นวี-ลัค มีเดียว่า มีการนำเช็คกว่า 6 ล้านบาทไปขึ้นเงินอย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า “จำไม่ได้แม้จะเป็นเช็คที่มีมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท  ไม่ว่าจะเป็นเช็คใบไหน เซ็นวันไหน เพราะผมมอบหมายให้ภรรยาเป็นผู้จัดการเรื่องการเงินของครอบครัวทั้งหมด  และไม่แน่ใจว่าแม่และภรรยาของผมจะไปส่งมอบเช็คกันอย่างไร จะเข้าบัญชีวันไหน  แม้แต่เช็คที่ผมได้รับจากการไปร่วมสัมมนาก็มอบให้ภรรยาจัดการ  ผมไม่เคยจับแม้แต่สมุดบัญชี ส่วนประเด็นที่ถูกซักถามว่าเหตุใดโอนขายหุ้นในเดือนมกราคมแล้วเหตุใดจึงนำเช็คไปขึ้นเงินในเดือนพฤษภาคมนั้น ผมไม่เคยถามและไม่เคยรู้  อาจเป็นเพราะครอบครัวของผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน  บางทีเช็คก็ติดเสื้อส่งไปซักแห้งก็ส่งกลับมา เรื่องการนำเช็คไปขึ้นเงินช้า เป็นเรื่องที่ภรรยาจะไปจัดการ”  

                                        คำต่อคำ“ธนาธร”อัลไซเมอร์? ย้ำแล้วย้ำอีก“จำไม่ได้”ปมโอนหุ้นสื่อ


ต่อมาศาลซักถามว่า ขณะที่ได้รับหุ้นวีลัค-มีเดีย  675,000 หุ้นในปี 2551 ซื้อมาหรือได้มาโดยเสน่หา นายธนาธร ตอบว่า “ผมซื้อมาในราคาพาร์ แต่จำไม่ได้ว่าซื้อจากใคร อาจะเป็นการซื้อหุ้นจากนางสมพร และจำไม่ได้ว่าหลังซื้อหุ้นมาแล้วได้ไปจดแจ้งไปที่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทหรือไม่ ส่วนการนัดโอนหุ้นในวันที่ 8 ม.ค.62 นั้น มีการนัดหมายล่วงหน้านานเท่าไร ผมจำไม่ได้ โดยเมื่อตัดสินใจเข้าทำงานทางการเมืองในช่วงปลายปี 60 ตนได้ลาออกจากทุกตำแหน่ง ต้นปี 2561  ในเดือน ม.ค.62 ยังไม่มีใครรู้ว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นวันไหน โดย พรฎ.เลือกตั้ง ประกาศในช่วงปลายเดือน ม.ค. ดังนั้นเวลาที่เหมาะสมวันไหนเราก็นัดวันนั้น เนื่องจากครอบครัวของผมมีกิจการหลายบริษัท  ในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2562 ได้ทยอยก็ทำมาเรื่อยๆ  วันที่ 8 ม.ค.62 จึงไม่ใช่วันสำคัญอะไร  เพราะทำมาอย่างต่อเนื่อง ธุรกรรมสุดท้ายคือเดือนเม.ย. ผมไม่ได้โอนเฉพาะหุ้นวี-ลัค มีเดีย เพราะมีหุ้นอยู่ 30 บริษัท  ผมทำธุรกิจมา 20 ปี ซื้อขายหุ้นไทยและต่างชาติเป็นร้อยๆครั้ง ไม่มีครั้งใดที่ผมไปกระทรวงพาณิชย์ด้วยผมเอง เมื่อเซ็นจบคือจบ ที่เหลือเป็นเรื่องของธุรการของบริษัท  สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นหลังเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้น ผมก็ไม่เคยดูเพราะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ธุรการ ผมไม่เคยแม้แต่ถือกลับบ้าน”

 

จากนั้นฝ่ายกกต.ผู้ร้องได้ซักถามถึ นางลาวัลย์และนางกานต์ฐิตา ซึ่งร่วมเป็นพยานในเอกสารโอนหุ้น ว่าเป็นพนักงานของบริษัทไทยซัมมิทมานานกว่า 10 ปีใช่หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า “ทั้ง 2 คนไม่ใช่พนักงานของ บ.วีลัค-มีเดีย เพราะได้ปิดกิจการไปแล้วตั้งแต่ปลายปี 2561  แต่พยานทั้ง 2 คนดังกล่าว เป็นพนักงานในเครือบ.ไทยซัมมิท  พร้อมยืนยันว่า ผมไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารงานของบ.วีลัค-มีเดีย ส่วนที่ให้บุคคลทั้ง 2 รายนี้มาเซ็นเป็นพยานคงเป็นเพราะนางสมพรเป็นผู้ดำเนินการจัดการ ทั้งนี้เมื่อถูกซักถามย้ำไปมาถึงพยานทั้ง 2 ราย นายธนาธรยอมรับว่า รู้จักพยานทั้ง 2 รายนี้ เพราะทำงานไทยซัมมิทมานาน 10 ปี สาเหตุที่ให้มาเป็นพยานเพราะรู้จัก หรือจะให้ผมเชิญคุณ ซึ่งผมไม่รู้จักมาเป็นพยาน” 

 

นอกจากนี้ นายธนาธรยังยืนยันว่า ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารของบ.วีลัค-มีเดีย เพราะตกลงกับภรรยาว่า ชีวิตครอบครัวกับหน้าที่การงานไม่ควรยุ่งเกี่ยวกัน สามีภรรยาที่ทำงานด้วยกันทะเลาะกันจะมีปัญหาครอบครัว ดังนั้นคนที่บ.ไทยซัมมิทจะไม่เคยเห็นภรรยาของผมเข้าไปบริหาร เช่นเดียวกับพนักงานบ.วีลัค-มีเดีย ก็จะไม่เคยเห็นผมเข้าไปบริหาร  

ทั้งนี้นายธนาธรยังชี้แจงด้วยว่า แม้จะมีการหารือกับผู้ถือหุ้นเตรียมเลิกกิจการและเตรียมเลิกจ้างพนักงานวีลัค-มีเดีย แต่ยังทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์ผลิตนิตยสารจิ๊บจิ๊บกับสายการบินนกแอร์ เนื่องจากเป็นสัญญาจ้างผลิตที่ทำกันไว้ล่วงหน้า ส่วนประเด็นที่กิจการขาดทุนมีหนี้ค้างชำระ 10 ล้านบาท แต่ยังมีการโอนขายหุ้นไปมานั้น ผมไม่ทราบ และไม่เคยยุ่งเกี่ยว ภารกิจจบไปตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.62  

                    คำต่อคำ“ธนาธร”อัลไซเมอร์? ย้ำแล้วย้ำอีก“จำไม่ได้”ปมโอนหุ้นสื่อ


เมื่อถูกซักถามถึงบัญชีเอกสารที่อ้างส่งศาล ซึ่งไม่มีงบการเงินบริษัท วี-ลัค มีเดีย นายธนาธร ตอบอย่างมีอารมณ์ว่า “จำไม่ได้ เพราะเอกสารเยอะมาก  และไม่เห็นว่าการส่งหรือไม่ส่งจะเป็นสาระสำคัญในคดี เช่นเดียวกับเอกสารโอนหุ้นซึ่งติดอากรแสตมป์ ลงวันที่ 8 ม.ค.62  ก็เป็นเรื่องข้อกฎหมายที่ผมไม่ทราบเช่นกัน  และในวันดังกล่าวที่มีการเดินทางไปปราศรัยที่จ.บุรีรัมย์ ผมจำไม่ได้ว่าเดินทางออกจากจุดใด  อาจไปนอนค้างที่จ.บุรีรัมย์ หากศาลต้องการหลักฐานก็สามารถไปตรวจสอบเพื่อนำมายืนยันได้ เหตุที่จำไม่ได้เพราะศาลอาจไม่ได้เดินทางบ่อยเท่าผม เพราะวันหนึ่งปราศรัย 7 เวที บางวันไป 5 จังหวัด ติดกันทุกเดือน 3-4 เดือน จึงจำไม่ได้จริงๆ” 

เมื่อถูกซักถามว่าเหตุใดจึงไม่อ้างนายชัยสิทธิ์ คนขับรถเป็นพยานบุคคล ในชั้นการชี้แจงกับ กกต. นายธนาธร กล่าวว่า “ผมไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร ประเด็นบุรีรัมย์มากรุงเทพฯ เกิดขึ้นเพราะผมตอบคำถามนักข่าวผิดเพียงครั้งเดียว จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต  เรามีทั้งใบสั่งและอีซีพาส เวลาสัมพันธ์กันหมดทุกช่วงเวลา แต่คนที่จะจัดการว่าใครควรเป็นพยานคือทนายความ  41 ปี ในชีวิตผม นี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามานั่งหน้าบัลลังก์  ที่ผ่านมาผมไม่เคยมีคดีเลย” 


เมื่อถูกถามย้ำถึงการจดแจ้งเลิกกิจการบ.วี-ลัค มีเดีย  อย่างเป็นทางการ  นายธนาธร กล่าวอย่างมีอารมณ์อีกครั้งว่า “จะต้องให้ตอบอีกกี่ครั้งว่าจำไม่ได้”  
ต่อมาทนายความของนายธนาธรได้ซักถามเพื่อให้นายธนาธรชี้ให้ศาลเห็นว่ากระบวนการไต่สวนของกกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยนายธนาธร กล่าวว่า “กกต.มีเอกสารมาถึงผม และนางสมพร เรียกไปให้ถ้อยคำตอนเช้า แต่หนังสือเรียกส่งมาถึงบ้านในช่วงบ่าย 


"ผมไม่มีไทม์แมชชีน ถ้ากระบวนการสอบสวนไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น ศาลก็ไม่ควรพิจารณาคดีนี้ และอยากให้ศาลพิจารณาว่า ขณะที่กกต.ยื่นคำร้องต่อศาล อนุกรรมการไต่สวนของกกต.ยังสอบสวนไม่เสร็จ สิทธิของผมในเรื่องนี้ควรได้รับการพิทักษ์ และผมขอสงวนสิทธิ์ถ้าคสช.หมดอำนาจ ผมจะดำเนินคดีกกต.  ผมตั้งใจอย่างจริงจังที่จะทำงานการเมืองโดยไม่อยากให้มีเรื่อผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างที่นายทักษิณ ชินวัตร โดนมาก่อน ต้องการให้บ้านเป็นประชาธิปไตย หากศาลตัดสินเป็นคุณกับผม ผมจะออกไปทำเรื่องบายทรัสต์ทันที เพราะต้องการใช้มาตรฐานนักการเมืองตะวันตกในการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อน ผมไม่ต้องเข้ามาเพื่อมีผลประโยชน์หรือบริวารห้อมล้อมเหมือนนายทักษิณ  เพราะผมอยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ ซึ่งถ้ายังอยู่แบบนี้ก็จะเดินต่อไปไม่ได้  


ผู้สื่อข่าวรายงาว่า ในการไต่สวนนายธนาธร ได้แสดงอาการหงุดหงิดหลายครั้งทั้งในเรื่องที่ศาลซักว่า ทำไมไม่รู้จำนวนเงินค่าตอบแทนหุ้นทำไมไม่ทราบว่าภรรยานำเช็คไปขึ้นเงินเมื่อไหร่และก่อนไปบุรีรัมย์อยู่ที่ไหน และที่นายธนาธรแสดงอารมณ์มากที่สุดคือตอนที่เจ้าหน้าที่กกต.สอบถามว่าทำไมให้คุณลาวัลย์ และกานต์ฐิตามาเซ็นเป็น พยานในการโอนหุ้นซึ่งนายธนาธรก็ได้ย้อนถามว่า "แล้วจะให้ผมชวนคุณมาเป็นพยานหรือ" "ผมรู้จักคุณหรือ" 


รวมทั้งกรณีที่เจ้าหน้าที่กกต.ถามว่าทำไมไม่อ้างนายชัยสิทธิ์คนขับรถเป็นพยานตั้งแต่ในชั้นการชี้แจงกับกกต. ซึ่งศาลก็ได้แสดงความเห็นด้วย โดยระบุว่าเป็นพยานสำคัญที่จะยืนยันว่าในวันดังกล่าวในธนาธรอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่จะเพิ่มน้ำหนักคำให้การมากขึ้นเหมือนกับตุลาการถูกกล่าวหาว่ายิงคนตายแล้วเวลานั้นมีประธานศาลรัฐธรรมนูญอยู่ด้วยก็สามารถตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญช่วยยืน