นักวิชาการหนุน  เพิ่มพลังงานทดแทน40%

ในงานสัมมนา “เจาะลึก แผนพีดีพี ทิศทางพลังงานไทย ภายใต้รัฐบาลใหม่” ได้มีมุมมองของนักวิชาการอย่าง ศ.พรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ชี้ให้เห็นถึงทิศทางการพัฒนาพลังงานของประเทศไว้อย่างน่าสนใจ โดยเห็นว่า แผนพีดีพีมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลผลิตไฟฟ้าในสัดส่วนสูง 80% ควรจะต้องปรับปรุงใหม่ลดสัดส่วนลงมา เพราะต้องแก้ปัญหาโลกร้อน จากที่พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ไปลงนามไว้ที่กรุงปารีส ประกอบกับแผนพีดีพีมุ่งใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าเป็นหลักในสัดส่วนสูงถึง 53% เมื่อสิ้นสุดแผน ถือเป็นการพึ่งพาเชื้อเพลิงชนิดเดียวมากจนเกินไป เป็นความเสี่ยงทั้งทางด้านการจัดหาและราคาเชื้อเพลิงที่ผันผวนจากการนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจี เพราะก๊าซในอ่าวไทยนับวันจะลดลง

ดังนั้น จึงเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทบทวนแผนพีดีพีใหม่ โดยเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมากขึ้น จาก 30 % ของกำลังการผลิตไฟฟ้า เมื่อสิ้นสุดแผนปี 2580 ให้เพิ่มเป็น 40% เพราะจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาพลังงานอย่างยั่งยืน

อีกทั้งจะช่วยให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าถูกลงได้ตามเป้าหมายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำหนดว่า ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดแผนพีดีพี 2018 ควรตํ่ากว่า 3.60 บาทต่อหน่วยได้ เนื่องจากต้นทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมีแนวโน้มถูกลง โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ซึ่งคาดว่า หากมีการเปิดประมูลแข่งขันผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เกิดขึ้น จะสามารถผลิตไฟได้ในอัตราเฉลี่ยประมาณ 1.50 บาทต่อหน่วย

ศ.พรายพล กล่าวอีกว่า หากจะต้องมีการทบทวนแผนดังกล่าว จะเสนอแนวคิดว่าจะต้องเพิ่มบทบาท และสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนในพีดีพี ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศให้มาก ตรงกับแนวคิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่จะส่งเสริมให้มีโรงไฟฟ้าชุมชน ใช้วัตถุดิบทางการเกษตร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้ว่าจะใช้วัตถุดิบจากเศษไม้ หรือกากอ้อยอย่างไรก็ยังหนีไม่พ้นการใช้โซลาร์เซลล์ (PV) เนื่องจากแนวโน้มของโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การใช้ PV มาแรงและเชื่อว่าในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้าก็ยังคงมาแรง 

หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3493 วันที่ 4-7 สิงหาคม 2563