แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ได้ทำวิจัยจากการสอบถามนายจ้าง 19,000 ราย ใน 44 ประเทศเกี่ยวกับผลกระทบของระบบอัตโนมัติที่มีต่อการเติบโตของงานในองค์กรของพวกเข้าในอีก 2 ปีข้างหน้า และตำแหน่งหน้าที่ที่นายจ้างวางแผนจะเพิ่มจำนวนพนักงานมากที่สุดและประเภทของทักษะที่พวกเขากำลังมองหา รวมทั้งกลยุทธ์การสร้างบุคลากรที่มีความสามารถสูงที่นายจ้างจะใช้เพื่อมองหาแรงงานที่เหมาะสมกับองค์กรในอนาคต
จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า นายจ้าง 87% วางแผนที่จะเพิ่มหรือคงไว้ซึ่งจำนวนบุคลากร ซึ่งเป็นผลมาจากการนำระบบอัตโนมัติมาใช้เป็นระยะเวลา 3 ปีต่อเนื่องกัน แทนที่จะลดการจ้างงาน นอกจากนี้ องค์กรต่างๆ ยังมีการลงทุนในระบบดิจิทัล โยกย้ายงานให้หุ่นยนต์เพื่อสร้างงานใหม่ ในขณะเดียวกัน เหล่าบรรดาบริษัทได้เพิ่มพูนทักษะของบุคลากรเพื่อให้แรงงานมนุษย์สามารถปฏิบัติหน้าที่ใหม่เป็นการเสริมเพิ่มเติมจากงานที่ใช้เครื่องจักรดำเนินการ ส่งผลให้การปฏิวัติทักษะเป็นกระแสที่มาแรงในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ระบบอัตโนมัติกำลังสร้างงานและแนวโน้มจะยังคงเป็นเช่นนั้น ทางด้านนายจ้างจำนวนมากขึ้นมีการคาดการณ์ใน 3 ปีหลังจากนี้ จะมีการเพิ่มหรือคงไว้ซึ่งจำนวนแรงงานที่เป็นผลจากระบบอัตโนมัติจาก 83% เป็น 87% ขณะเดียวกันสัดส่วนของบริษัทที่น่าจะลดจำนวนงานลงจาก 12% เป็น 9 %
นอกจากนี้ องค์กรที่ใช้ระบบอัตโนมัติมากที่สุดกำลังจ้างงานมากที่สุด ผลวิจัยระบุอีกว่า บริษัทหรือองค์กรที่เปลี่ยนมาใช้ระบบดิจิทัลกำลังเติบโต และยังทำให้เกิดงานใหม่ๆ มากขึ้นด้วยเช่นกัน องค์กรที่ใช้ระบบอัติโนมัติในการทำงานและเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลมีความมั่นใจอย่างยิ่งว่า จะมีการเพิ่มจำนวนพนักงานถึง 24% ของบริษัทเหล่านั้น อีกทั้งยังคาดว่าจะมีตำแหน่งงานมากขึ้นใน 2 ปีข้างหน้า และมีเพียง 12% ขององค์กรที่ใช้ระบบอัตโนมัติเท่านั้น ที่กล่าวว่าจะลดจำนวนพนักงาน ในขณะที่อีก 3% ไม่แน่ใจว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
ผลวิจัยยังระบุอีกว่ามี 41%ของบริษัทที่จะใช้ระบบอัตโนมัติในการทำงานในอีก 2 ปีข้างหน้า และ 24% จะสร้างงานใหม่ ส่วนอีก 6% เป็นบริษัทที่ไม่มีแผนจะใช้ระบบอัตโนมัติ
จากกระแสของการพัฒนาทักษะแรงงาน โดยบริษัทกำลังจะกลายเป็นผู้สร้างบุคลากรที่มีความสามารถสูง เพื่อเสริมศักยภาพและขีดความสามารถให้กับธุรกิจ โดยผลจากการขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถสูงมากที่สุดในรอบ 12 ปี และทักษะใหม่ๆ ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ทักษะเก่าค่อยๆ หายไป บริษัทจำนวนมากกำลังวางแผนที่จะพัฒนาและสร้างบุคลากรที่มีความสามารถพิเศษมากกว่าที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นภายในปี 2563 โดยบริษัทมีกำลังตระหนักว่าตนไม่สามารถฝากความหวังไว้ที่การหาบุคลากรที่มีทักษะความสามารถพร้อมอยู่แล้วได้อีกต่อไป และประมาณ 84 % ขององค์กรคาดว่าจะพัฒนาทักษะความสามารถพิเศษของบุคลากรได้ภายในปี 2563
การให้ความสนใจกับเรื่องที่ว่าหุ่นยนต์ จะมาแย่งงานมนุษย์ เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาที่แท้จริง แน่นอนว่าการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในการทำงานมากขึ้น แต่มนุษย์ก็เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานเช่นกัน
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา งานวิจัยของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป แสดงให้เห็นว่า นายจ้างส่วนใหญ่วางแผนที่จะเพิ่มหรือคงไว้ซึ่งจำนวนพนักงาน จากผลการพัฒนาระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมาก มนุษย์มีบทบาทสำคัญในการสร้างนวัตกรรมเกี่ยวกับการเรียนรู้และการสร้างบุคคลที่มีความสามารถสูง ทักษะถือเป็นใบเบิกทางไปสู่การเติบโต โดยมีพลังขององค์กรและบุคลากรด้วยเช่นกัน
ระบบอัตโนมัติเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานขององค์กร เช่น การจ้างคนเพิ่มขึ้น การสร้างงาน และการเพิ่มพูนทักษะที่สูงขึ้นเพื่อให้องค์กรมีแรงงานที่มีศักยภาพเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ นี่ไม่ใช่การเลือกระหว่างมนุษย์หรือเครื่องจักร องค์กรและบุคคลสามารถเป็นมิตรกับเครื่องจักรและร่วมมือกันสร้างสังคมที่เข้มแข็งและดีขึ้นกว่าเดิม” นายโจนัส ไพรซิ่ง ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารแมนพาวเวอร์กรุ๊ป กล่าว
ทั้งนี้ จากผลวิจัยชี้ให้เห็นถึงบทบาทของระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ที่องค์กรได้นำมาใช้เพื่อให้การขับเคลื่อนธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และยังเสริมแกร่งในด้านขีดความสามารถในการแข่งขันได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม บทบาทของบุคลากร ซึ่งเป็นแรงงานสำคัญที่จะต้องมีการพัฒนาทักษะและขีดความสามารถของบุคลากร เพื่อทำงานและควบคุมการทำงานระบบอัตโนมัติ-หุ่นยนต์ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ถึงเวลา…ที่ทุกองค์กรจะตื่นตัวรับมือโลกดิจิตัลสู่การปฏิวัติทักษะ 4.0 อันจะทำให้มนุษย์ชนะหุ่นยนต์ เพราะอย่างไรก็ตาม มนุษย์จะยังเป็นที่ต่อการขององค์กร และหุ่นยนต์ก็ต้องการมนุษย์เช่นกัน