การเมืองหนุน หุ้นมิ.ย.คึกคัก ลุ้นสหรัฐฯ-จีนคืบ

09 มิ.ย. 2562 | 10:23 น.

โบรกมองตลาดหุ้นไทยเดือนมิถุนายนฟื้นตัว หลังการ เมืองในประเทศเริ่มคืบหน้า แนะรอติดตามโฉมหน้ารัฐบาล คาดจัดตั้งเสร็จในเดือนนี้ พร้อมจับตาการประชุม G20 หวังบรรลุข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ กับจีน    

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน 2562 หลังจากก่อนหน้านี้ยังคงผันผวนจากทั้งสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจน และประเด็นกดดันจากสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนที่เริ่มตอบโต้กัน แต่ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน การเมืองเริ่มคืบหน้าจากการเริ่มประชุมสภาผู้แทนราษฎร ทำให้เรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติกลับมาได้ โดยมูลค่าซื้อขายสะสมตั้งแต่วันที่ 4-6 มิถุนายน 2562 นักลงทุนต่างชาติมีสถานะซื้อสุทธิรวม 11,672.40 ล้านบาท

การเมืองหนุน  หุ้นมิ.ย.คึกคัก  ลุ้นสหรัฐฯ-จีนคืบ

นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจัยบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย คือ ความชัดเจนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐบาลชุดใหม่ที่คาดว่าจะเห็นในช่วงกลางเดือนนี้ รวมถึงสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน ที่คาดจะบรรลุข้อตกลงกันในการประชุม G20 ในเดือนนี้ ทำให้มองว่าในระยะสั้นดัชนีหุ้นไทยจะอยู่ในกรอบ 1590-1680 จุด ส่วนระยะยาวในไตรมาส 3 ปีนี้ มีโอกาสปรับขึ้นอยู่ที่ 1680 จุด และเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยอีก 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 1725 จุด   

อย่างไรก็ตาม คาดว่าหลังจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้วเสร็จ จากนั้น 2-3 เดือน จะมีการทยอยออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงทยอยอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานประเทศ ส่วนเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ คาดจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โดยกลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้นทยอยซื้อสะสม เพื่อรอขายทำกำไรในช่วงดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปอยู่ที่ 1680 จุด ทั้งนี้ แนะนำ 8 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มสินค้าเกษตร กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มไอซีที

ด้านบล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)จก. ระบุว่า ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2562 คือ ดอกเบี้ยอยู่ในระดับตํ่าทั่วโลกเป็นบวกต่อตลาดหุ้น, การจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งของไทย ทำให้ภาพการเมืองไทยชัดเจนขึ้น, โครงการลงทุนขนาดใหญ่เดินหน้าต่อหลังมีรัฐบาล, ประเทศต่างๆ อาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และ FTSE คัด 7 หุ้นไทยเข้าคำนวณ โดยมีผลวันที่ 24 มิถุนายนนี้ 

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงไม่แน่นอนที่ติดตาม ได้แก่ ข้อพิพาททางการค้าแผ่วงกว้างขึ้น หลังจากสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากจีนเพิ่มจาก 10% เป็น 25% เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน และอยู่ระหว่างพิจารณาเรียกเก็บในอัตรา 25% สำหรับส่วนที่เหลือ 3.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือไม่, ส่งออกไทยโตจำกัดหรือได้แค่ทรงตัว, หนี้สินภาคครัวเรือนของไทยสูงและปัญหาภัยแล้ง เป็นอุปสรรคต่อการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ, อัตราค่าแรงงานปรับขึ้น เป็นลบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก, การตั้งสำรองผลตอบแทนพนักงานตามกฎหมายใหม่ และกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 2 มีแนวโน้มเติบโตจำกัด 

รายงานข่าวจากฝ่ายวิจัย บล.ไอร่าฯ ระบุว่า ทิศทางการลงทุนตลาดหุ้นไทย ช่วงเดือนมิถุนายนนี้ มีโอกาสฟื้นตัว เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากประเด็นภายในประเทศ โดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุนจากภาคเอกชน ส่งผลให้กระแสเงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลกลับต่อเนื่อง แต่ยังคงมีปัจจัยกดดันจากประเด็นต่างประเทศ จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และมีแนวโน้มลุกลามไปยังประเทศอื่น เช่น เม็กซิโก ญี่ปุ่น และยุโรป ทำให้คาดการปรับขึ้นเป็นไปอย่างจำกัด โดยคาดว่าแนวรับอยู่ที่ 1600- 1570 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 1632-1650 จุด

นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คิงส์ฟอร์ดฯ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนมิถุนายน จะถูกกดดันจากภาวะสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนที่กลับมาขึ้นภาษีต่อกัน ขณะที่สหรัฐฯเตรียมกดดันจีนเพิ่ม โดยจะแบนสินค้าเทคโนโลยีจีน เช่น หัวเว่ย ช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งต้องจับตาการประชุม G20 ปลายเดือนนี้ว่าจะมีการหารือยุติข้อพิพาทการค้าหรือไม่ ส่วนปัจจัยในประเทศ ต้องติดตามปัจจัยทางการเมือง โดยเฉพาะความคาดหวังจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง 

 

หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับ 3477 วันที่ 9-12 มิถุนายน 2562

การเมืองหนุน  หุ้นมิ.ย.คึกคัก  ลุ้นสหรัฐฯ-จีนคืบ