'พาณิชย์' ชี้ โอกาสทองไทยตีตลาดเครื่องประดับในสหรัฐฯ แทนสินค้าจีน

27 ก.ค. 2561 | 10:56 น.
พาณิชย์ชี้โอกาสทองผู้ประกอบการไทยตีตลาดเครื่องประดับในสหรัฐฯ แทนสินค้าจีน จับตาสงครามการค้า มะกันเตรียมขึ้นภาษีสินค้าจีนกว่า 6,000 รายการอีก 10% ทำตลาดเครื่องประดับและอัญมณีจีนในสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านดอลล์ป่วน

- 27 ก.ค. 61 - นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา ได้รายงานว่าอุตสาหกรรมเครื่องประดับและอัญมณีของไทยมีแนวโน้มที่จะได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์การออกนโยบายกีดกันทางการค้าและการขึ้นภาษีสินค้าตอบโต้กันระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างมาก หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 6,031 รายการในอัตรา 10% และมีหมวดสินค้าเครื่องประดับของจีนติดในบัญชีดังกล่าวด้วย 56 รายการ

ทั้งนี้ในปี 2560 สหรัฐฯนำเข้าสินค้าเครื่องประดับอัญมณีและกล่องใส่เครื่องประดับจากจีนรวมเป็นมูลค่า 3,144.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากปีก่อน 5.39% แยกเป็นเครื่องประดับและแฟชั่น 2,510.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัญมณีและลูกปัดแก้ว 314.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ วัตถุดิบและอื่นๆ 289.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จึงเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการไทยในการทำตลาดสินค้าประเภทเครื่องประดับและอัญมณี เพื่อทดแทนสินค้าจีนที่สหรัฐฯจะขึ้นภาษีสินค้าดังกล่าว เพราะสินค้ากลุ่มเครื่องประดับและอัญมณีของไทยมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของตลาดทั่วโลกอยู่แล้ว

“สินค้าจีนที่เข้าข่ายจะต้องเสียภาษีเพิ่ม 10% เช่น โลหะมีค่ายังไม่ขึ้นรูปชนิดต่างๆ ที่ส่งออกไปสหรัฐฯปีที่แล้วมูลค่า 166.83 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กล่องใส่เครื่องประดับ 105.49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลูกปัดแก้ว 37.04 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งทั้ง 3 รายการจะมีมูลค่า 309.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ”

อย่างไรก็ตามสินค้าที่เข้าข่ายจะถูกขึ้นภาษีคิดเป็น 9.93% ของมูลค่าของสหรัฐฯนำเข้าเครื่องประดับและอัญมณีจีนทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 90.69% เช่น เครื่องประดับมีค่า เครื่องประดับแฟชั่นและอัญมณีอื่นๆ ยังถูกยกเว้นภาษีนำเข้าอยู่ ซึ่งทูตพาณิชย์ในสหรัฐจะติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ดังกล่าวต่อไป

นางจันทิรา กล่าวอีกว่า ในส่วนของสินค้าเครื่องประดับและอัญมณีไทยที่สหรัฐนำเข้าในปี 2560 มีมูลค่า 1,289.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากปีก่อน 24% โดยมูลค่าจะน้อยกว่าสินค้าจากจีนประมาณเท่าตัวดังนั้นสินค้าเครื่องประดับไทยที่มีโอกาสเข้าไปแย่งส่วนแบ่งตลาดจากจีนมากที่สุดน่าจะเป็นสินค้ากล่องใส่เครื่องประดับ ซึ่งเป็นสินค้าไทยที่มีศักยภาพมาก โดยในปี 2560 ไทยส่งออกสินค้ากล่องใส่เครื่องประดับไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 2.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่จีนส่งออกกล่องใส่เครื่องประดับไปสหรัฐฯมูลค่า 105.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เมื่อสินค้านำเข้าจากจีนต้องเสียภาษีเพิ่ม10% ก็จะเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมการผลิตกล่องใส่เครื่องประดับไทยที่จะได้รับอานิสงส์อย่างมากในอนาคต

“ทางกรมอยากให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้เตรียมความพร้อม เพื่อเร่งขยายตลาดในสหรัฐฯหลังสินค้าจีนถูกปรับขึ้นภาษี ส่วนสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของจีนชนิดอื่นๆ ที่ยังไม่ถูกปรับขึ้นภาษี เช่น เครื่องประดับมีค่า และเครื่องประดับแฟชั่น แม้ว่าจะไปชิงตลาดในส่วนนี้ของจีนได้ลำบาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ผู้ประกอบการจะค่อยๆ พัฒนาสินค้า เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดให้เพิ่มมากขึ้น หากผู้ประกอบการสินค้าของไทยให้ความสำคัญเรื่องของมาตรฐาน คุณภาพ การนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่า รวมถึงเทรนด์ของตลาดที่ต้องการเข้าไปทำการค้า เมื่อรวมกับฝีมือความละเอียดประณีต ความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ของชิ้นงานของไทย ตรงนี้จะเป็นจุดดึงดูดและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ช่วยขยายโอกาสการค้า และส่วนแบ่งทางการตลาดในต่างประเทศให้กับสินค้าของไทยได้อย่างแน่นอน” นางจันทิรา กล่าว