ป.ป.ช. แจงเหตุไม่รื้อคดี สลายชุมนุมนปช.2553 "เต้น" ระบุหลังเลือกตั้งลุยใหม่

22 มิ.ย. 2561 | 14:53 น.
khdbidi96bb8b559bjk5e ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานป.ป.ช.ว่า ในวันนี้ นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีแกนนำนปช.( นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ และนายวรัญชัย โชคชนะ) มีหนังสือร้องขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทบทวนคดีสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. เมื่อปี2553

โดยกรรมการป.ป.ช.มีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป นายวรวิทย์ แถลงว่า ประเด็นที่มีการร้องขอให้ทบทวนมี 4 ประเด็น คือ 1.การตัดสินใจทางนโยบาย กรณีใช้อาวุธสงครามกระสุนจริงและยุทธวิธีการซุ่มยิงถูกต้องหรือไม่นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.เคยพิจารณาและวินิจฉัยไว้แล้วว่าการสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนติดตัว เข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ในระหว่างวันที่ 10 เม.ย.- 19 พ.ค.2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บนั้น ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำสั่งของศาลว่าเป็นช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง

ซึ่งการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำสั่งของศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553 วันที่ 22 เม.ย.2553 และวันที่ 14 พ.ค.2553

เจ้าหน้าที่ผู้รับคำสั่งจาก ศอฉ.จะต้องไปปฏิบัติโดยกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมเป็นลำดับชั้นต่อไปจนถึงหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ซึ่งมีผู้ควบคุมคือ ผู้บังคับกองพันในการปฏิบัติการจริงในพื้นที่นั้น
222 การตัดสินใจในการใช้อาวุธจะเป็นอำนาจโดยสายการบังคับบัญชาในการสั่งการของผู้บัญชาการกองพล หากภายหลังสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีจำเป็น จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติต้องรับผิดในการกระทำดังกล่าวฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือฐานฆ่าผู้อื่น อันเป็นการกระทำเฉพาะตัว

ซึ่งกรณีนี้ที่ประชุมได้มีมติให้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป ตามมาตรา 89/2 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
2.ไม่ยกเลิกการปฏิบัติในทันทีเมื่อรับทราบการเสียชีวิตของประชาชน และกรณีกล่าวอ้างว่ามีการปรับยุทธวิธีเป็นการตั้งด่านตรวจและมีจุดสกัดปิดล้อมเพื่อให้ชุมนุมเลิกไปเองนั้น แต่ตามวารสารกองทัพบก (เสนาธิปัตย์) อธิบายว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบ มิใช่การปรับยุทธวิธีเป็นการตั้งด่านตรวจตามที่อ้างนั้น

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ในประเด็นนี้เคยพิจารณาและวินิจฉัยไว้แล้วว่าภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การขอคืนพื้นที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้ว ศอฉ. ได้ทบทวนปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าผลักดันผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจ หรือจุดสกัดปิดล้อมวงนอกไว้โดยรอบ เพื่อให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง และได้มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ ในวันที่ 14 และ 19 พ.ค.2553 ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่มีการใช้กำลังทหารเข้าผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุม เหมือนการปฏิบัติการในวันที่ 10 เม.ย.2553 แต่เป็นการตั้งด่านอยู่กับที่ทุกแห่ง 5236221

3.การอ้างว่ามีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนในกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นการอ้างโดยมิได้มีหลักฐานใดๆ รองรับ เป็นการอ้างไม่ตรงกับคำพิพากษาศาลแพ่ง เนื่องจากคำพิพากษาระบุว่าการเสียชีวิตเบื้องต้นในวันที่ 10 เม.ย.2553 ยังไม่ทราบว่าเป็นการกระทำของฝ่ายใด และศาลแพ่งได้เตือนจำเลยคือนายอภิสิทธิ์ กับพวก ในการสลายการชุมนุมหรือขอคืนพื้นที่ให้ดำเนินการเท่าที่จำเป็นตามความเหมาะสม

และคำสั่งศาลอาญาในเรื่องการตาย จำนวน 19 ศพ ก็ยืนยันว่าผู้ตายตายจากกระสุนความเร็วสูง จากอาวุธสงครามของเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง ศอฉ. และไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีอาวุธปืนหรือยิงต่อสู้นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ในประเด็นนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยพิจารณาและวินิจฉัยไว้แล้วว่า ตามคำสั่งศาลในช่วงระยะเวลาต่างๆ ได้แก่

คำสั่งศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ ร. 2/2553 วันที่ 5 เม.ย.2553, คำสั่งศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553 วันที่ 22 เม.ย.2553, คำสั่งศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553 วันที่ 14 พ.ค. 2553 คำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลอาญากรุงเทพใต้ กรณีนายบุญมี เริ่มสุข ในคดีหมายเลขดำที่ ช.7/2555 คดีหมายเลขแดงที่ ช.1/2556 วันที่ 16 ม.ค. 2556, คำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลอาญา กรณีนายมานะ อาจราญ ในคดีหมายเลขดำที่ อช.8/2555 คดีหมายเลขแดงที่ อช.3/2556 วันที่ 21 ก.พ.2556 สรุปข้อเท็จจริงได้ว่า

การชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการสลายการชุมนุมเพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล
4.กระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริง ไม่รอบคอบ ไม่ถูกต้อง ไม่น่าเชื่อถือและ 2 มาตรฐาน ดังนี้ 1. เหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.2551 (การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ) เกิดขึ้นและยุติลงภายในวันเดียว แต่คำฟ้องของ ป.ป.ช. แบ่งเหตุการณ์ออกเป็น 3 ช่วงเวลา กล่าวถึงผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บรายสำคัญโดยละเอียด ขณะที่เหตุการณ์ปี 2553 เกิดขึ้นต่อเนื่องกันกว่า 1 เดือน ต่างกรรมต่างวาระต่างสถานที่ แต่กลับพิจารณาแบบองค์รวม

นอกจากนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังมีดุลยพินิจ ที่แตกต่าง จากอัยการและศาล ดังนั้น หากในกรณีสลายการชุมชุม นปช. ในปี 2553 ได้มีการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาล อัยการและศาลอาจมีข้อวินิจฉัยที่แตกต่างจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็เป็นได้นั้น
2.ในกรณีกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีอำนาจตามหน้าที่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายสมชาย มีอำนาจสั่งการแทนนายกรัฐมนตรี จึงไม่อาจปฏิเสธความผิด ต่อกรณีมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ แต่กรณีกลุ่ม นปช. นั้น ป.ป.ช. กลับมีมติว่าหากเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีจำเป็นจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บให้ถือเป็นความผิดเฉพาะตัว

3.กรณีสลายการชุมนุม กลุ่มพันธมิตรฯ ในปี 2551 มีผู้เสียชีวิต 2 ราย 1 ในนั้น คือ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี แกนนำการ์ดกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งผลการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าขับรถบรรทุกวัตถุระเบิดที่มีอานุภาพการทำลายล้างสูงเข้ามาในพื้นที่ และเกิดเหตุระเบิดจนเสียชีวิต กลับไม่ถูกกล่าวถึงแต่อย่างใด ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าการชุมนุมดังกล่าวมิได้ปราศจากอาวุธ เช่นเดียวกับการชุมนุมของกลุ่ม นปช.

4.กรณีนายสมชาย และคณะเจ้าหน้าที่ใช้เพียงแก๊สน้ำตา มีความผิด กรณีของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งใช้อาวุธสงครามสารพัดชนิด กลับไม่มีความผิดนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ในประเด็นนี้ ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ ของเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่ม นปช. มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ เหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในคืนวันที่ 6 ต.ค.2551 เวลาประมาณ 23.00 น. ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษที่ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว) นายสมชาย ร่วมกับพล.อ.ชวลิต มีคำสั่งให้พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ในขณะนั้นดำเนินการเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภา เข้าประชุมเพื่อแถลงนโยบายในวันที่ 7 ต.ค.2551 ให้ได้ โดยไม่ปรากฏแนวทางการปฏิบัติที่เป็นไปตามขั้นตอนและหลักการสากล มีการใช้แก๊สน้ำตาชนิดยิงและขว้างเพื่อผลักดันประชาชนกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปิดทางเข้ารัฐสภา 3 ครั้ง จนมีผู้เสียชีวิตเเละบาดเจ็บนั้น
111 สำหรับรายพ.ต.ท.เมธี ขณะเสียชีวิตยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเสียชีวิตจากระเบิดแสวงเครื่องที่เกิดระเบิดภายในรถของตนเองขณะเข้าร่วมชุมนุม โดยสื่อมวลชนได้เสนอข่าวการสลายการชุมนุมด้วยการใช้แก๊สน้ำตาซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าวตลอดทั้งวัน นายสมชาย ในฐานะนายกรัฐมนตรี กับพวกก็ไม่ได้สั่งระงับหรือยับยั้งการปฏิบัติการดังกล่าว

ส่วนเหตุการณ์สลายการชุมนุมของ นปช. นายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี กับพวก ได้มีการสั่งการโดยมีแนวทางการปฏิบัติ และเน้นย้ำการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทุกระดับตามขั้นตอน กฎและหลักการสากลในการสลายการชุมนุม และปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนและตามคำสั่งของศาลดังกล่าวข้างต้น ว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ.ต้องใช้มาตรการขอคืนพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง

โดยเจ้าหน้าที่ผู้รับคำสั่งจะต้องนำไปปฏิบัติโดยกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติเป็นลำดับชั้นต่อไป จนถึงหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ ซึ่งมีผู้ควบคุมคือ ผู้บังคับกองพันในการปฏิบัติการจริงในพื้นที่นั้น การตัดสินใจในการใช้อาวุธ จะเป็นอำนาจโดยสายการบังคับบัญชาในการสั่งการของผู้บัญชาการกองพลว่าจะให้ทหารผู้ปฏิบัตินำอาวุธปืนพร้อมกระสุนจริงติดตัวจำนวนกี่กระบอกต่อกองร้อย โดยบางกองพลก็จะให้นำอาวุธปืนและกระสุนเก็บไว้ในรถไม่ได้นำติดตัว แต่หากมีการนำอาวุธติดตัวไปปฏิบัติการผู้ที่มีอำนาจในการสั่งใช้อาวุธคือ ผู้บังคับกองพันในพื้นที่รับผิดชอบเหตุการณ์ดังกล่าว

สำหรับพยานหลักฐานที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ได้แก่ 1.วารสาร “เสนาธิปัตย์” 2.คำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลอาญา กรณีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว 3.แผ่นCD)“รุมยิงนกในกรง” 4.แผ่นบันทึกภาพและเสียง (CD) “ยุทธการขอคืนพื้นที่ เมษา 53” คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า วารสาร “เสนาธิปัตย์” ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างนั้นไม่ใช่พยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริง เป็นแต่เพียงบทความทางวิชาการทหารเท่านั้น สำหรับคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพ และแผ่นบันทึกภาพและเสียงเหตุการณ์การสลายการชุมนุมตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างก็เป็นข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในสำนวนการไต่สวนและคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้นำพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัยด้วยแล้ว จึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่เช่นกัน กรณีจึงต้องห้ามมิให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยกขึ้นพิจารณาใหม่ ตามมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติไม่ยกสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหานายอภิสิทธิ์กับพวก กรณีร่วมกันสั่งการในเหตุการณ์สลายการชุมนุม นปช. ขึ้นพิจารณาใหม่ เหตุหนังสือคำร้องทั้ง 3 ฉบับ ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานใหม่อันเป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวน ต้องห้ามมิให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยกขึ้นพิจารณาใหม่ ตามมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

หากปรากฏพยานหลักฐานใหม่อันเป็นสาระสำคัญที่จะทำให้ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปลี่ยนแปลงไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจหยิบยกสำนวนการไต่สวนดังกล่าว ขึ้นพิจารณาใหม่ได้ทุกเมื่อภายในอายุความสำหรับกรณีดีเอสไอส่งสำนวนคดีอาญา
กรณีการเสียชีวิตของประชาชนจากการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกันกับกรณีกล่าวหานายอภิสิทธิ