ไฟซีเรียระอุ “การเมืองโลก” หมีขาวขู่ฟ้อง “UNSC” จับตา “มังกร” เลือกทางใด?
- 14 เม.ย. 61 - แม้พล.อ.โจ ดันฟอร์ด ประธานเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐฯ และนายจิม แมททิส รมว.กลาโหมสหรัฐฯ จะย้ำว่า การโจมตีซีเรียในครั้งนี้ ของสามชาติพันธมิตรคือสหรัฐฯ อังกฤษและฝรั่งเศสนั้น เป้าหมายคือมุ่งลดขีดความสามารถเครื่องจักรสงครามผลิตอาวุธเคมี การโจมตีจึงกินเวลาราวหนึ่งชั่วโมง ไม่มีแผนโจมตีเพิ่มอีก และไม่มีความพยายามขยายชุดเป้าหมายเกินไปจากนี้ และกองทัพสหรัฐฯไม่ได้ประสานเป้าหมาย หรือแผนการใดกับรัสเซียก่อนการโจมตี แต่แจ้งทางการกรุงมอสโกว่าจะยึดแนวทางเดิม คือลดขัดแย้ง
ด้านทำเนียบเครมลินระบุว่า ขอประณามการกระทำก้าวร้าว และร้องขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประชุมฉุกเฉิน
อนึ่ง ข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council “UNSC”) มีสมาชิก 15 ประเทศ ประกอบไปด้วยสมาชิก 2 ประเภท คือ สมาชิกถาวร 5 ประเทศ (สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส จีน และรัสเซีย) และสมาชิกไม่ถาวร 10 ประเทศ ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 2 ปี
ฉะนั้นกรณีการถล่มซีเรียของสามชาติมหาอำนาจในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติคือสหรัฐฯ อังกฤษและฝรั่งเศสนั้น เสมือนเสียงข้างมากบนเวทีของชาติมหาอำนาจของโลก แม้รัสเซียจะต่อต้านเพียงหนึ่งเสียง และต้องรอดูท่าทีของจีนด้วยว่าจะทำอย่างไร เพราะทราบกันดีว่าจีนกับรัสเซียเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกัน และตอนนี้สหรัฐฯก็เสมือนทำสงครามการค้ากับจีนไปในช่วงก่อนหน้านี้เเล้ว
จึงน่าจับตาว่าจีนจะเลือกเเนวทางใดกับสถานการณ์ร้อนของโลกยามนี้
นายอเล็กเซย์ มาลาเชนโก ผู้เชี่ยวชาญความขัดแย้งซีเรีย กล่าวว่าการตอบโต้ทางทหารจะเป็นความเสี่ยงสูงสำหรับมอสโกเช่นกัน แต่มองแล้วกรุงมอสโกเลือกเล่นสงครามปากแทน โดยเฉพาะที่เวทีสหประชาชาติ แต่จะไม่มีปฏิบัติการทหารจริง
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน แถลงว่า สหรัฐฯและชาติพันธมิตรไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีโจมตีพลเรือน อีกทั้งไม่รอให้องค์กรห้ามอาวุธเคมีเข้าไปตรวจสอบ ก็ปฏิบัติการโจมตีซีเรียแล้ว ดังนั้นสหรัฐฯและชาติพันธมิตรจะต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังปฏิบัติการดังกล่าว อิหร่านยังเตือนด้วยว่า ปฏิบัติการโจมตีซีเรีย เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
อิหร่านเป็นประเทศที่อยู่ข้างเดียวกับรัสเซีย ในการสนับสนุนประธานาธิบดีชาร์ อัล อัสซาด ผู้นำซีเรีย โดยอิหร่านระบุว่า “ประเทศตะวันตกใช้เหตุการโจมตีกลุ่มกบฏเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อเป็นข้ออ้างในการกล่าวหารัฐบาลซีเรีย” ก่อนหน้านี้สถานีโทรทัศน์ซีเรียแถลงการณ์ประณามการโจมตีครั้งนี้ ขณะที่ทางการซีเรีย ระบุว่า การโจมตีครั้งล่าสุดของสหรัฐฯและพันธมิตร เพื่อเป็นการขัดขวางไม่ให้องค์กรห้ามอาวุธเคมีเข้าไปตรวจสอบในซีเรีย
ด้านทำเนียบเครมลินระบุว่า ขอประณามการกระทำก้าวร้าว และร้องขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประชุมฉุกเฉิน
ฉะนั้นกรณีการถล่มซีเรียของสามชาติมหาอำนาจในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติคือสหรัฐฯ อังกฤษและฝรั่งเศสนั้น เสมือนเสียงข้างมากบนเวทีของชาติมหาอำนาจของโลก แม้รัสเซียจะต่อต้านเพียงหนึ่งเสียง และต้องรอดูท่าทีของจีนด้วยว่าจะทำอย่างไร เพราะทราบกันดีว่าจีนกับรัสเซียเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกัน และตอนนี้สหรัฐฯก็เสมือนทำสงครามการค้ากับจีนไปในช่วงก่อนหน้านี้เเล้ว
จึงน่าจับตาว่าจีนจะเลือกเเนวทางใดกับสถานการณ์ร้อนของโลกยามนี้
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน แถลงว่า สหรัฐฯและชาติพันธมิตรไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีโจมตีพลเรือน อีกทั้งไม่รอให้องค์กรห้ามอาวุธเคมีเข้าไปตรวจสอบ ก็ปฏิบัติการโจมตีซีเรียแล้ว ดังนั้นสหรัฐฯและชาติพันธมิตรจะต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังปฏิบัติการดังกล่าว อิหร่านยังเตือนด้วยว่า ปฏิบัติการโจมตีซีเรีย เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
อิหร่านเป็นประเทศที่อยู่ข้างเดียวกับรัสเซีย ในการสนับสนุนประธานาธิบดีชาร์ อัล อัสซาด ผู้นำซีเรีย โดยอิหร่านระบุว่า “ประเทศตะวันตกใช้เหตุการโจมตีกลุ่มกบฏเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อเป็นข้ออ้างในการกล่าวหารัฐบาลซีเรีย” ก่อนหน้านี้สถานีโทรทัศน์ซีเรียแถลงการณ์ประณามการโจมตีครั้งนี้ ขณะที่ทางการซีเรีย ระบุว่า การโจมตีครั้งล่าสุดของสหรัฐฯและพันธมิตร เพื่อเป็นการขัดขวางไม่ให้องค์กรห้ามอาวุธเคมีเข้าไปตรวจสอบในซีเรีย