ยัมฯมั่นใจแฟรนไชส์ ช่วยให้ธุรกิจโตไวขึ้น

14 ส.ค. 2560 | 00:28 น.
การขายกิจการทุกสาขาที่บริษัทลงทุนเองในไทยให้กับผู้ถือแฟรนไชส์ท้องถิ่นนับเป็นการตอกยํ้ากลยุทธ์สำคัญของ “ยัม แบรนด์ส” อีกครั้งหลังจากที่บริษัทได้ขายกิจการ “ยัม ไชน่า” ให้กับกลุ่มทุนจีนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ด้วยเป้าหมายมุ่งขยายการเติบโตของธุรกิจผ่าน ระบบแฟรนไชส์ ซึ่งจะทำให้ขยายตัวได้เร็วขึ้น มีผลตอบ แทนการลงทุนมากขึ้น ขณะที่ความเสี่ยงลดลง

นายเกร็ก ครีด ซีอีโอของ “ยัม แบรนด์ส” บริษัทแม่ เจ้าของเชนร้านฟาสต์ฟูดภายใต้แบรนด์ “เคเอฟซี” “พิซซ่า ฮัท” และ “ทาโก้เบลล์” เปิดเผยในรายงานประจำปี 2016 ว่า การขายกิจการยัม ไชน่า โฮลดิ้งส์ ในประเทศจีนออกไปเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา นับเป็นการริเริ่มเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดนับจากที่บริษัทยัมฯเองแยกกิจการออกมาจากเป๊ปซี่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว

ปัจจุบันยัม ไชน่า ซึ่งไม่ได้เป็นบริษัทในเครือของยัม แบรนด์ส อีกแล้ว เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัทท้องถิ่นของจีนคือ พริมาเวลา แคปปิตอล และแอนท์ ไฟแนนเชียล ซึ่งรายแรกเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของอาลีบาบา กรุ๊ป และรายหลังเป็นบริษัทในเครืออาลีบาบา ทำให้ยัม ไชน่า กลายสถานะเป็นผู้ถือแฟรนไชส์รายใหญ่ที่สุด และต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์จำนวน 3% ของรายได้ทุกปีให้กับยัม แบรนด์ส

MP20-3287-4 การที่ทุกสาขาของเคเอฟซีในประเทศจีนอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของผู้ถือแฟรนไชส์ฝ่ายจีน เชื่อว่าจะทำให้สามารถรุกทำตลาดและขยายสาขาได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์หลักของยัม แบรนด์ส ที่ต้องการเร่งการเติบโต ลดความเสี่ยงทางธุรกิจ และเพิ่มผลตอบแทนการลงทุน

การเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจมาเป็นลักษณะนี้ (ขายกิจการให้ผู้ถือแฟรนไชส์ท้องถิ่นดำเนินงาน และบริษัทเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้สนับสนุนทางด้านนวัตกรรมสินค้า) จะช่วยให้ยัม แบรนด์ส สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิ ภาพมากขึ้น ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มจำนวนสาขา ที่เป็นของผู้ถือแฟรนไชส์(franchise mix) เป็นอย่างน้อย 98% ภายในสิ้นปี 2018

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,287 วันที่ 13 -16 สิงหาคม พ.ศ. 2560