“คนละครึ่งพลัส-บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" คืนรอยยิ้มคนไทย

08 พ.ย. 2568 | 00:00 น.

คนละครึ่งพลัส-บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คืนรอยยิ้มคนไทย : คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย...ว.เชิงดอย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4146

KEY

POINTS

  • รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปีผ่าน 2 โครงการใหญ่ คือ "คนละครึ่งพลัส" และการ "เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพและพยุงการบริโภคในประเทศ
  • โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีการโอนเงินเพิ่มให้ผู้ถือบัตรกว่า 13.4 ล้านคน ขณะที่โครงการคนละครึ่งพลัสมีเป้าหมาย 20 ล้านคน โดยรัฐช่วยออกค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง
  • มาตรการทั้งสองอัดฉีดเม็ดเงินรวมกว่า 6.6 หมื่นล้านบาทสู่ระบบเศรษฐกิจฐานราก เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ สร้างความคึกคักให้ร้านค้ารายย่อย และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาพรวม

*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,146 ระหว่างวันที่ 6-8 พ.ย. 2568 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย

*** ในห้วงสุดท้ายของปี 2568 ที่ “เศรษฐกิจไทย” ยังส่งสัญญาณชะลอตัวจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ รัฐบาลเฉพาะกาลภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและรมว.มหาดไทย ได้เดินหน้า “มาตรการเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ” ผ่าน 2 โครงการใหญ่ คือ “คนละครึ่งพลัส” และ “เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ซึ่งถูกคาดหวังว่าจะเป็นหัวใจสำคัญในการพยุงการบริโภคภายในประเทศช่วงปลายปี

*** โครงการ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” กระทรวงการคลังได้โอนเงินเพิ่มวงเงินสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้ถือบัตรกว่า 13.4 ล้านคน ทั่วประเทศ รวมเม็ดเงินกว่า 13,000 ล้านบาท โดยโอนเข้าบัญชีในวันที่ 1 ของเดือน พ.ย. และ จะโอนอีกครั้ง 1 ธ.ค. 2568 ต่อเนื่อง 2 เดือน ผู้ถือบัตรแต่ละคนจะได้รับ เพิ่มอีก 850 บาทต่อเดือน จากเดิมที่ได้รับเพียง 300 บาท รวมเป็น 1,700 บาท ต่อคนตลอด 2 เดือน คาดว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากกว่า 22,780 ล้านบาท ตลอดโครงการ ช่วยเพิ่มกำลังซื้อและบรรเทาภาระค่าครองชีพในช่วงปลายปี 

มาตรการนี้ถือเป็น “แรงส่งตรงถึงมือประชาชนฐานราก” ที่ช่วยให้ร้านค้าชุมชน ร้านธงฟ้าประชารัฐ และ ตลาดท้องถิ่น มีสภาพคล่องมากขึ้น ทั้งยังเป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจฐานราก 

*** ส่วนอีกหนึ่งโครงการใหญ่ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามคือ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งเปิดให้ประชาชนร่วมใช้สิทธิ์ในร้านค้าร่วมโครงการ โดยรัฐบาลช่วยออกค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง เพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพและกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ โครงการนี้อยู่ในวงเงินไม่เกิน 44,000 ล้านบาท สำหรับกลุ่มเป้าหมาย 20 ล้านคน แบ่งเป็นประชาชนที่อยู่ในระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 11 ล้านคน และกลุ่มประชาชนทั่วไปและกลุ่มผู้ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี รวม 9 ล้านคน โครงการนี้เปิดใช้สิทธิ ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568

*** นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า “คนละครึ่งพลัส” จะช่วยกระตุ้น GDP ไตรมาส 4 ได้ราว 0.2–0.3% หากประชาชนใช้สิทธิ์เต็มวงเงิน และจะช่วยพยุงการบริโภคภาคเอกชนให้ขยายตัวได้ต่อเนื่องถึงต้นปีหน้า ...แม้มาตรการทั้งสองจะไม่ใช่ “ยาแรง” ในเชิงโครงสร้าง แต่ถือเป็น “ยาบำรุงหัวใจเศรษฐกิจ” ที่ส่งผลโดยตรงต่อการใช้จ่ายรายวันของประชาชน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย

ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่า การกระตุ้นแบบตรงจุด โดยเน้นกลุ่มรายได้น้อยและประชาชนทั่วไป เป็นแนวทางที่เหมาะกับช่วงปลายปี เนื่องจากช่วยให้เกิดการหมุนเวียนเงินในระบบได้เร็ว และลดแรงกดดันค่าครองชีพที่ยังสูงต่อเนื่องจากราคาพลังงานและอาหาร

ขณะเดียวกัน ฝ่ายธุรกิจค้าปลีกและท่องเที่ยวมองว่า ช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม จะเป็น “ฤดูกาลทอง” ของการจับจ่าย หากเม็ดเงินจากรัฐเข้าสู่ระบบเร็ว จะช่วยต่ออายุความคึกคักของตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ ในมุมสังคม...มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ยังสะท้อนภาพ “ 3 พลัง” ระหว่าง รัฐบาล ร้านค้า และ ประชาชน ที่ช่วยกันฟื้นชีวิตเศรษฐกิจระดับฐานรากให้กลับมามีรอยยิ้ม จากร้านอาหารรายย่อย ที่ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ไปจนถึงแม่ค้าตลาดสดที่เริ่มเห็นลูกค้าแน่นขึ้น 

เงินจาก 2 โครงการทั้ง “คนละครึ่งพลัส+บัตรสวัสดิการ” อาจไม่มากมายนัก แต่สำหรับผู้มีรายได้น้อย มันคือ “ลมหายใจ” ในช่วงปลายปีที่ค่าครองชีพยังสูงอยู่ ...ปลายปีนี้ เม็ดเงินจากรัฐกว่า 66,780 ล้านบาท กำลังค่อยๆ ไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และที่สำคัญกว่าคือ กำลังหล่อเลี้ยง “รอยยิ้มของคนไทย” ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

                                      “คนละครึ่งพลัส-บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" คืนรอยยิ้มคนไทย

*** เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2568 ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ได้เป็นประธานการประชุม ในช่วงแรกนายกฯ ได้เปรยว่า รัฐบาลยังคงเดินหน้านโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดผลเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยได้เน้นย้ำถึงความสำเร็จของมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” และมอบหมายให้คณะทำงานเร่งแก้ปัญหาความไม่ทั่วถึงของการเข้าถึงสิทธิ์ โดยเฉพาะใน “กลุ่มชายขอบ” และ “กลุ่มเปราะบาง”

ขณะเดียวกันได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะ “มันสำปะหลัง” ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก

นายกฯอนุทิน ยังระบุว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องขอบคุณ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ที่ได้เริ่มดำเนินนโยบาย “คนละครึ่งพลัส” จนเกิดผลในทางบวกอย่างชัดเจน โดยพบว่า ประชาชนมีความสุขและเต็มใจที่จะเข้าร่วมโครงการ ซึ่งช่วยสร้างความคึกคักให้กับเศรษฐกิจระดับฐานราก และทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

โครงการดังกล่าวแม้จะได้รับเสียงตอบรับที่ดี แต่ยังพบปัญหาความไม่ทั่วถึงจากรูปแบบการลงทะเบียนแบบ “first come, first serve” ทำให้ประชาชนที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ได้ก่อน ขณะที่กลุ่มเปราะบางและกลุ่มชายขอบจำนวนมากยังคงเข้าไม่ถึงสิทธิ์ดังกล่าว “ผมได้เน้นย้ำว่าต้องหาทางแก้ไข และรวมกลุ่มประชาชนที่พลาดโอกาสในรอบแรกกลับมาในเฟส 2 เพื่อให้ได้รับการดูแลจากรัฐบาลอย่างทั่วถึงมากที่สุด”