“คนละครึ่ง”รีเทิร์น กระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วน ยุครัฐบาลอนุทิน

13 ก.ย. 2568 | 00:00 น.

“คนละครึ่ง”รีเทิร์น กระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วน ยุครัฐบาลอนุทิน : คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย...ว.เชิงดอย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4131

KEY

POINTS

  • รัฐบาลเตรียมนำโครงการ "คนละครึ่ง" กลับมากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยปรับเงื่อนไขใหม่ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี โดยรัฐจะร่วมจ่าย 60% ส่วนประชาชนทั่วไปยังคงสัดส่วนเดิมที่ 50%
  • โครงการตั้งเป้าเริ่มต้นในเดือนตุลาคม 2568 โดยใช้งบประมาณปี 2569 วงเงิน 25,000 ล้านบาท และให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิได้ภายในเวลา 4 เดือน
  • ภาคเอกชนส่วนใหญ่สนับสนุนมาตรการนี้ พร้อมเสนอให้เพิ่มวงเงินใช้จ่ายต่อวันเป็น 200 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น

*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,131 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย  

*** หลังจากโครงการ “คนละครึ่ง” เคยเป็นนโยบาย Quick Win ของรัฐบาลชุดก่อน ภายใต้การบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วงสถานการณ์โควิด-19 ล่าสุดรัฐบาลชุดปัจจุบัน ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรีและว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประกาศชัดเจนว่า โครงการนี้จะกลับมาอีกครั้ง โดยมีการปรับปรุงรูปแบบ และเกณฑ์การเข้าร่วมให้ทันสมัย และตอบโจทย์กลุ่มประชาชนที่อยู่ในระบบภาษี

*** ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ชี้แจงถึงการดำเนินโครงการนี้ว่า โครงการ “คนละครึ่ง” เฟสใหม่ จะปรับสูตรการจ่ายเงินเป็น 60:40 สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้ และผู้ที่ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยรัฐจะร่วมจ่าย 60% และประชาชนจ่าย 40% เพื่อเป็นแรงจูงใจให้กลุ่มที่อยู่ในระบบภาษี แสดงความรับผิดชอบ และใช้สิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ ขณะนี้มีประชาชนกลุ่มดังกล่าวประมาณ 11 ล้านคน

*** แนวคิด คือ ให้สิทธิพิเศษกับคนที่อยู่ใน “ระบบภาษี” ซึ่งรวมถึงผู้ยื่นแบบภาษีด้วย ไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีจริง แต่ต้องอยู่ในระบบเพื่อสร้างความรับผิดชอบทางการเงิน และส่งเสริมวินัยทางภาษีของประชาชน สำหรับประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ถือ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” จะยังคงได้รับสิทธิในอัตราเดิม 50:50 รัฐจ่าย 50% ประชาชนจ่าย 50% โดยหลักเกณฑ์การใช้สิทธิส่วนใหญ่ จะยังคงเหมือนโครงการเดิมประมาณ 80-90% เพื่อให้ประชาชนคุ้นเคยและเข้าถึงสิทธิได้ง่าย

*** สำหรับ “งบประมาณ” หากโครงการสามารถเริ่มต้นได้ภายในเดือนตุลาคม 2568 จะใช้เงินจากงบประมาณปี 2569 ภายใต้กรอบงบกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 25,000 ล้านบาท หากมีความจำเป็นต้องขยายโครงการออกไปมากกว่านี้ อาจพิจารณาเกลี่ยงบจาก รายการ “งบกลาง” มาสมทบเพิ่มเติม เพื่อให้โครงการมีประสิทธิภาพสูงสุด อย่างไรก็ตาม ต้องรอการหารือกับ คณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้ง เพื่อกำหนดรายละเอียดของงบประมาณและขนาดของโครงการอย่างรอบคอบ แม้โครงการจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจ และ “กระตุ้นกำลังซื้อ” แต่ยังต้องพิจารณาอย่างรอบด้านก่อนนำไปปฏิบัติจริง 

*** ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ คนที่ 32 ออกมาระบุว่า ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” ครั้งนี้ จะสามารถใช้สิทธิได้ภายใน 4 เดือน หลังจากประกาศเริ่มโครงการ เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนและช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568

สำหรับ กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ ประชาชนที่อยู่ในระบบภาษีและแสดงความรับผิดชอบด้านภาษี ส่วน “ประชาชนทั่วไป” และ “ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ยังคงได้สิทธิในรูปแบบเดิม ซึ่งจะช่วยสร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงโครงการ ทั้งนี้ รัฐบาลเน้นให้โครงการคงความง่ายต่อการเข้าใจ ใช้งานสะดวก และเข้าถึงผู้คนทุกกลุ่ม เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มกำลังซื้อ

***ขณะเดียวกัน ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ถึงความจำเป็นและความคุ้มค่าในการฟื้น “โครงการคนละครึ่ง” ของรัฐบาลอนุทิน ...ภาคเอกชนกลับแสดงท่าทีชัดเจนว่า สนับสนุนมาตรการนี้อย่างกว้างขวาง โดยเปรียบว่า เป็น “ยาดมชูกำลัง” ระยะสั้น ที่สามารถสร้างแรงกระตุ้นกำลังซื้อได้จริงในยามเศรษฐกิจอ่อนแรง พร้อมเสนอปรับเงื่อนไข เพิ่มสิทธิประโยชน์ และต่อยอดสู่ระบบรัฐสวัสดิการที่ยั่งยืน

*** ผู้ประกอบการดิจิทัลและเครือข่ายร้านอาหาร เช่น LINE MAN Wongnai, Grab และ สมาคมภัตตาคารไทย ต่างยืนยันว่า พร้อมสนับสนุนโครงการเต็มที่ โดยเสนอให้กระทรวงการคลังใช้ฐานข้อมูลร้านค้าจากรอบก่อน ๆ เพื่อป้องกันความยุ่งยากในการลงทะเบียนใหม่ และสามารถเดินหน้าได้ทันที

“ยอด ชินสุภัคกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ระบุว่า “เรามีฐานข้อมูลร้านค้าในระบบที่สามารถเชื่อมต่อและพร้อมใช้งานทันที รัฐไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากศูนย์” สำหรับข้อเสนอที่ “ภาคเอกชน” หยิบยกขึ้นมาอย่างกว้างขวางคือ การเพิ่มวงเงินสิทธิ์จาก 150 บาทต่อวัน เป็น 200 บาทต่อวัน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายให้มากขึ้น โดยเห็นว่าระดับ 150 บาท อาจไม่เพียงพอในภาวะค่าครองชีพสูง  

                           “คนละครึ่ง”รีเทิร์น กระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วน ยุครัฐบาลอนุทิน

*** สำหรับองค์กรภาคเอกชนขนาดใหญ่ ทั้ง หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เห็นพ้องว่า “คนละครึ่งรีเทิร์น” เป็นมาตรการที่เหมาะสมต่อการกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงสั้น โดยเฉพาะเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่น การบริโภคภายใน และดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ก็เตือนว่า ต้องมีมาตรการเสริมระยะกลาง-ยาว เช่น ปฏิรูประบบภาษี การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการลงทะเบียน และ การจัดทำโครงการที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงมาตรการฉุกเฉิน วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าไทย ชี้ว่า มาตรการนี้จะได้ผล หากรัฐบาลใช้เป็น “สะพานเชื่อม” ไปสู่การสร้างรัฐสวัสดิการ ลดความเหลื่อมล้ำ และดึงผู้ประกอบการออกจากระบบเศรษฐกิจนอกระบบ

*** เสียงสะท้อนจากภาคเอกชนต่อโครงการ “คนละครึ่ง” ภายใต้ “รัฐบาลอนุทิน” ชัดเจนว่า แม้จะเป็นมาตรการเฉพาะหน้า แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการฟื้นกำลังซื้อ ขณะที่ข้อเสนอจากเอกชน-ทั้งการเพิ่มวงเงินสิทธิ์ ยืนยันไม่เก็บภาษีย้อนหลัง และการต่อยอดสู่ระบบที่ยั่งยืน สะท้อนความคาดหวังว่ารัฐบาลจะไม่เพียง “ปลุกพลังจับจ่าย” ชั่วครั้งชั่วคราว แต่สามารถปักหมุดไปสู่การสร้าง ระบบรัฐสวัสดิการที่มั่นคงและครอบคลุมในอนาคต...