กางกระเป๋ารอ“โครงการคนละครึ่ง”จับจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ

20 ก.ย. 2568 | 09:14 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ย. 2568 | 09:26 น.

กางกระเป๋ารอ“โครงการคนละครึ่ง”จับจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ : คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย...ว.เชิงดอย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4,132

KEY

POINTS

  • "รัฐบาลอนุทิน"เตรียมผลักดันโครงการ “คนละครึ่ง” เพื่อเป็นมาตรการเร่งด่วนในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ช่วงปลายปี 2568
  • โครงการมีวงเงินรวม 25,000 ล้านบาท กำหนดสัดส่วนร่วมจ่าย 50:50 และมีสัดส่วนพิเศษ 60:40 (รัฐ 60: ประชาชน 40) สำหรับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี
  • คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคม 2568 โดยอาจมีการพิจารณาเพิ่มเพดานการใช้จ่ายต่อวันจาก 150 บาท เป็น 200 บาท

*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,132 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย  

*** รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล อยู่ระหว่างรอการเข้าเฝ้าถวายสัตย์ฯ  ก่อนจะไปสู่ขั้นตอนการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และเข้าบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ แต่ระหว่างนี้ อนุทิน ก็ได้นำว่าที่คณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เดินหน้าเคลื่อนไหวเชิงรุก เดินสายหารือร่วมกับ เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และคณะกรรมการ เพื่อรับฟังแนวทางแก้ปัญหาภาคอุตสาหกรรมไทยในระยะเร่งด่วน

 

การหารือครั้งนี้ถือเป็นการทำงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ที่สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก โดย ส.อ.ท. ได้นำเสนอ 5 เรื่องด่วนที่ต้องเร่งแก้ไข ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจมหภาค และ ปัญหาที่กระทบผู้ประกอบการโดยตรง ได้แก่

1.มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และสงครามการค้า โดย นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท. ชี้แจงว่า ภาษีสหรัฐ เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 7 ส.ค. 2568 แบ่งเป็น ภาษี 19% สำหรับสินค้าทั่วไป (ยกเว้นกลุ่มมาตรา 232 เช่น รถยนต์ เหล็ก อลูมิเนียม) , ภาษี 40% กรณีพบการสวมสิทธิ์หรือ transshipment  ปัญหาที่ตามมา คือ ขาดหลักเกณฑ์ชัดเจนในการคำนวณ Regional Value Content (RVC) ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างระมัดระวัง ดังนั้น จึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาล คือ รัฐบาลควรจัดตั้งหน่วยงานให้คำปรึกษาเรื่อง RVC, ส่งเสริมการปรับซัพพลายเชนไทย และสนับสนุนสินค้า Made in Thailand (MiT) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ

2.สภาพคล่องและสินเชื่อ SMEs ส.อ.ท. เน้นว่า SMEs ยังมีหนี้เสีย (NPL) สูงถึง 243,026 ล้านบาท จากสินเชื่อรวมกว่า 3 ล้านล้านบาท ข้อเสนอ Fast Track SMEs คือ ค้ำประกันสินเชื่อฉุกเฉิน อนุมัติภายใน 3-7 วัน สูงสุด 100%, สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง SME ด่วนพิเศษ 1% ผ่าน กองทุน สสว., ช่องทาง Express Lane สำหรับสินเชื่อ 5-10 ล้านบาท โดยไม่ต้องใช้หลักประกัน และมาตรการ Hair Cut ปรับโครงสร้าง NPL ลดภาระผู้ประกอบการ

3.ค่าไฟ-พลังงานทางเลือก นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธาน ส.อ.ท. เสนอให้ปรับโครงสร้างค่าไฟสะท้อนต้นทุนจริง ลดต้นทุนส่วนเกิน และสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน ด้วยข้อเสนอ ลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ชำระตรงเวลา, เร่งจัดทำแผนพัฒนาพลังไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ภายในปี 2568, ส่งเสริมการเปิดเสรีไฟฟ้า และพลังงานทางเลือก

4.การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา นายเวทิต โชควัฒนา รองประธาน ส.อ.ท. ชี้ว่า การค้าชายแดนยังมีปัญหากระทบผู้ประกอบการ จึงเสนอมาตรการแก้ปัญหาดังนี้ ระยะเร่งด่วน : ลดค่าใช้จ่ายโลจิสติกส์ เพิ่มเส้นทางส่งสินค้าใหม่ เช่น จันทบุรี-ตราด, ระยะสั้น : Soft Loan ให้ SMEs รักษาสภาพคล่อง และ ระยะยาว : ใช้มาตรการทวิภาคีและกฎหมายสร้างความชัดเจนในการค้าร่วมกัน

5.บริหารจัดการเงินบาทแข็ง นายเกรียงไกร ระบุว่า ความแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบเวียดนาม และ อินโดนีเซีย ส่งผลต่อการแข่งขันผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่มี NPL สูงและเข้าถึงแหล่งเงินทุนยาก ...ทั้งนี้ ส.อ.ท.ยืนยันจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาล เพื่อให้เศรษฐกิจไทย เข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืนในอนาคต

*** ขณะที่ “นายกฯ อนุทิน” เผยว่า รัฐบาลแม้จะอยู่ระหว่างการจัดตั้ง แต่เวลาทุกนาทีต้องไม่สูญเปล่า รัฐบาลจะร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อแก้ปัญหาที่กระทบประชาชนและผู้ประกอบการโดยตรง “ไทยไม่ควรเป็นเพียงผู้รับจ้างประกอบเท่านั้น ต้องเพิ่มมูลค่าและขยาย GDP จากการผลิตภายในประเทศร่วมกับ BOI และภาคเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน” พร้อมย้ำถึงการทำงานร่วมกับข้าราชการประจำว่า “คนละพรรค แต่พวกเดียวกัน” เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าอย่างมั่นคง

*** หันไปดูโครงการ “คนละครึ่ง” รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ นายอนุทิน เตรียมชูนโยบาย “คนละครึ่ง” เป็นหนึ่งในมาตรการเร่งด่วน เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาเพียง 4 เดือนก่อนการยุบสภา เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทยยืนยันกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า นโยบายนี้ถูกบรรจุไว้ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยรัฐบาลตั้งเป้า “อัดเงินเข้าระบบทันที” หลังผ่านการแถลงนโยบาย เพื่อให้ประชาชนมีเงินจับจ่ายใช้สอยได้คล่องตัว คล้ายกับที่เคยประสบความสำเร็จในยุครัฐบาลประยุทธ์

*** สำหรับโครงสร้างโครงการ “คนละครึ่ง" วงเงินรวม 25,000 ล้านบาท เริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคม 2568 สัดส่วนหลักคือ คนละครึ่ง (50:50) รัฐบาลจ่ายครึ่ง ประชาชนจ่ายครึ่ง เพิ่มพิเศษสำหรับผู้เสียภาษีอยู่ในระบบ: 60:40 รัฐบาลช่วย 60% ประชาชนออก 40%

ส่วนวงเงินรายวัน-วงเงินโครงการ รัฐบาลยังพิจารณารายละเอียดเรื่องเพดานใช้จ่ายจาก 150 บาท/วัน (แนวทางเดิม) อาจขยับเป็น 200 บาท/วัน หากงบประมาณเพียงพอ ด้านแหล่งงบประมาณ เตรียมใช้ทั้ง งบกลางปี 2568 (กันยายน) และ งบกลางปี 2569 มาผสมผสาน เพื่อให้สามารถเดินหน้าโครงการได้ทันที

*** นายกฯอนุทิน ระบุชัดว่า เมื่อรัฐบาลเข้ามาบริหารเต็มตัวจะ “เร่งดำเนินการเรื่องนี้เร็วที่สุด” พร้อมฝากประชาชนว่า “กางกระเป๋ารอได้เลย” โดยจะมอบหมายให้ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯและรมว.คลัง เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดต่อไป

*** การปัดฝุ่นโครงการ “คนละครึ่ง” ของ “รัฐบาลอนุทิน” ครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นมาตรการฟื้นกำลังซื้อในระยะสั้น แต่ยังสะท้อนการเดินเกมการเมือง ที่ต้องการสร้างความเชื่อมั่น ความนิยม และ บรรยากาศจับจ่ายก่อนการเลือกตั้งใหม่ ต้นปี 2569 โดยมีทั้งมิติ “เศรษฐกิจ” และ “การเมือง” เคลื่อนพร้อมกันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ...