KEY
POINTS
อุตสาหกรรมเหล็กไทยกำลังเผชิญแรงกดดันสะสม ทั้งปัญหาเดิมที่ยังแก้ไม่ตกและการแข่งขันจากเหล็กราคาถูกคุณภาพตํ่า จนผู้ประกอบการเริ่มอ่อนแรง
โดยเฉพาะเหล็กเส้นจากโรงหลอมเศษเหล็กด้วยระบบ Induction Furnace (IF) ที่จีน ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก เลิกการผลิตเพราะมลพิษ แต่กลับหอบเครื่องจักร มือสอง มาตั้งฐานการผลิตในไทย จนเกิดคำถามด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบายรัฐ ว่าทำไมถึงยอมให้ตั้งโรงงานในไทยได้
“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง ที่ปรึกษาสมาคมเหล็กทรงยาว ฉายภาพความท้าทายของ อุตสาหกรรม เหล็กทรงยาว เช่น เหล็กเส้น เหล็กข้ออ้อย เหล็กรูปพรรณ ฯลฯ ที่ต้องเผชิญแรงกดดันหนักในปี 2569
นายประวิทย์ เริ่มต้นด้วยการมองภาพรวมตลาดเหล็กทรงยาวในไทยตอนนี้ และทิศทางปี 2569 ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้ใช้เหล็กรายใหญ่ที่ยังอ่อนแอ ว่า ตลาดเหล็กทรงยาว เผชิญแรงกดดันจากการนำเข้าปริมาณสูง โดยเฉพาะจากจีน ทำให้ตลาดมีแรงกดดันด้านราคา และการแข่งขันสูง ราคากดดันและการแข่งขันรุนแรง ส่งผลให้โรงงานในประเทศมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับที่ค่อนข้างตํ่าอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560 เฉลี่ยไม่ถึง 30%
ขณะที่การผลิตจากโรงหลอมเศษเหล็กด้วยระบบ Induction Furnace (IF) ที่ขยายตัวจนมีสัดส่วนสูงในปริมาณเหล็กเส้นภายในประเทศ ภาพรวมทำให้ตลาดมีทั้งปัญหาด้านคุณภาพและด้านราคาจากแหล่งผลิตราคาถูก แม้ว่ารัฐบาล-หน่วยงานอุตสาหกรรมเริ่มเข้มงวดกับ IF (มาตรฐาน/การรับรอง / แผนยกเลิก / จำกัด) ซึ่งกำลังเปลี่ยนสมดุลอุปทานระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ปี 2569 ในแง่ความต้องการเหล็กทรงยาวจะยังอ่อนตัว ตัวเลขการก่อสร้างใหม่อาจกินเวลาหลายไตรมาสกว่าจะฟื้น ทำให้แรงกดดันด้านราคาและปริมาณยังคงอยู่ ส่วนในแง่อุปทาน (Supply) หากรัฐบาลผลักดันให้ลด / เลิกการผลิตเหล็กด้วยระบบ IF (มีมาตรการการรับรอง / ห้ามขยาย / ยกเลิกมาตรฐาน) จะทำให้อุปทานสั้นลงในแง่ปริมาณ แต่หากไม่มีมาตรการคุมเข้มเพียงพอ การนำเข้า (จากจีน) อาจทดแทนช่องว่างนั้นได้ และทำให้การแข่งขันยังดุเดือดต่อไป
“ดังนั้นในปี 2569 ภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กทรงยาวจะฟื้นตัวช้าและไม่สมํ่าเสมอ และมีความเสี่ยงสูง (demand weak) แต่มีตัวแปรสำคัญคือมาตรการรัฐต่อ IF และนโยบายการค้า/การนำเข้า ที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาและความมั่นคงด้านอุปทาน”
นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า มีรายงานและคำเตือนจากภาคอุตสาหกรรม ว่า ในปี 2567/2568 ปริมาณเหล็กเส้นที่ผลิตจาก IF มีสัดส่วนสูง (รายงานบางข่าวอ้างว่าจาก rebar (เหล็กเส้น เหล็กข้ออ้อย) ที่ผลิตภายในประเทศมีประมาณ 2.8 ล้านตัน ในปี 2568 ราว 1.6 ล้านตันมาจาก IF) แปลได้ว่า แหล่งภายในประเทศ (IF) เป็นสัดส่วนที่สำคัญของซัพพลาย และเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาด้านคุณภาพ
นอกจากนี้ การนำเข้าเหล็กทรงยาว (bars/wire-rod) ก็มีปริมาณมาก (ตัวเลขนำเข้า bars ในปี 2567 ประมาณ 2.08 ล้านตัน ตามรายงานสถิติการนำเข้า) และส่วนใหญ่มาจากจีน ทำให้ตลาดภายในถูกกดราคาจากสินค้านำเข้า และเป็นอีกแรงกดดันสำคัญ
“ปัญหาเหล็กราคาถูก หรือคุณภาพตํ่าในไทยเกิดทั้งจากแหล่งภายใน (IF) ซึ่งให้สัดส่วนการผลิตสูง และจากการนำเข้า (โดยเฉพาะจากจีน) ทั้งสองปัจจัยทำให้การแข่งขันลดทอนมูลค่าและสร้างความเสี่ยงด้านคุณภาพในงานก่อสร้าง”
ปัจจุบันตัวเลขโรงงาน IF มีจำนวน 12 โรง กำลังผลิตปัจจุบันประมาณ 3.24 ล้านตันต่อปี ขณะที่กรรมวิธีหลอมด้วยเตาชนิดอาร์กไฟฟ้า (Electric Arc Furnace) หรือ EAF ซึ่งเป็นระบบที่ได้คุณภาพเหล็กที่สมํ่าเสมอกว่าและลดปัญหาด้านมลพิษ มีจำนวน 6 โรง กำลังผลิตปัจจุบันประมาณ 4.4 ล้านตันต่อปี
กรรมวิธีหลอมด้วยเตาชนิดอาร์กไฟฟ้าในไทย (EAF) ต้นทุนพลังงานและต้นทุนการลงทุนสูงกว่าโรงหลอมเศษเหล็กด้วยระบบ IF ทำให้ EAF ต้องแบกรับต้นทุนคงที่สูง (ค่าไฟ/การบำรุงรักษา) แต่ได้เหล็กคุณภาพสมํ่าเสมอและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่การแข่งขันจากเหล็กราคาถูก (นำเข้า) และ IF ทำให้ EAF บางรายเผชิญแรงกดดันทางการเงินและการใช้กำลังการผลิตตํ่า (บางรายต้องปรับกลยุทธ์ ลดต้นทุน หรือชะลอการลงทุน)
ดังนั้น หากรัฐเข้มงวดในการบังคับใช้เรื่องมาตรฐานการผลิตของโรง IF ที่ต้องเป็นไปตามข้อกำหนด มอก. อย่างเคร่งครัด เช่น ต้องมีระบบเตาปรุง (Ladle Furnace-LF) จะช่วยให้ EAF มีโอกาสเพิ่มกำลังการผลิต และฟื้นความสามารถในการแข่งขันที่เป็นธรรมในระยะกลางถึงยาว
นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาสื่อและสมาคมอุตสาหกรรม (FTI / SEAISI / สื่อไทย) รายงานและวิเคราะห์ปัญหา IF ทั้งมุมคุณภาพและมลพิษ เตือนเรื่อง inclusion, composition variability (สิ่งแปลกปลอมที่ไม่ใช่เนื้อเหล็ก และส่วนผสมทางเคมีของเหล็ก) และผลกระทบต่อความแข็งแรงความเหนียวของเหล็กในงานโครงสร้าง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 กลุ่ม 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยได้เข้าพบนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และได้มอบ “รายงานผลการศึกษาเพื่อการแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้น บทเรียนจากสาธารณรัฐประชาชนจีนสู่การยกระดับมาตรฐานเหล็กเส้นของไทย” ซึ่งจัดทำโดยกลุ่มเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ชี้ให้เห็นข้อจำกัดของกระบวนการ Induction Furnace (IF) และบทเรียนจากการยกเลิกการผลิตเหล็กเส้นด้วยเตา IF ในประเทศจีน
นอกจากนี้ หน่วยงานรัฐ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม, TISI และ สตง. ได้ตรวจสอบและเสนอแนวทางควบคุมโรงงาน IF ทั้งการพิจารณายกเลิกการรับรอง ตรวจค้นผู้ฝ่าฝืนกฎ และพบการผลิตไม่ได้มาตรฐานในบางแห่ง ขณะเดียวกัน งานวิชาการและการทดสอบคุณภาพเหล็กระบุว่า เหล็กจาก IF มีความแปรปรวนทางเคมี มี inclusion สูง และ toughness ตํ่า เมื่อเทียบกับ BF-BOF และ EAF
รายงานล่าสุดปี 2568 ของ SEAISI ชี้ชัดว่า เหล็ก IF มีคุณภาพไม่สมํ่าเสมอ เนื่องจากข้อจำกัดในการควบคุมคุณภาพนํ้าเหล็กและการกำจัดสิ่งเจือปน อีกทั้งเป็นระบบเปิดที่ปล่อยมลพิษสูงกว่าวิธีปิดอย่าง EAF ส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จึงควรทบทวนหรือยกเลิกการรับรองมาตรฐานเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยโครงสร้างและสิ่งแวดล้อม