‘เหล็กจีน’ ทุ่มตลาดไทยแรงไม่ตก ปีนี้จ่อพุ่ง 5.6 ล้านตัน ผู้ผลิตไทยเสี่ยงหนัก

10 ต.ค. 2568 | 00:37 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ต.ค. 2568 | 01:01 น.

แม้รัฐบาลจีนมีนโยบายในการลดการผลิตเหล็กภายในประเทศลง แต่ก็ยังไม่ได้ตอบโจทย์ว่า จีนจะลดการส่งออกเหล็กไปตีตลาดโลกในราคาที่ถูกกว่า

KEY

POINTS

  • คาดการณ์ว่าปีนี้ไทยจะนำเข้าเหล็กจากจีนสูงถึง 5.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 12% ซึ่งเป็นการทุ่มตลาดอย่างต่อเนื่องและรุนแรง
  • ราคาเหล็กนำเข้าที่ลดลงราว 15% ส่งผลกระทบให้ผู้ผลิตเหล็กในไทยจำนวนมากต้องเผชิญภาวะขาดทุน ขาดสภาพคล่อง และบางรายต้องหยุดการผลิต
  • ปัญหามีสาเหตุหลักจากจีนมีกำลังการผลิตเหล็กส่วนเกิน แม้ความต้องการในประเทศจะลดลง แต่การส่งออกกลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก

รัฐบาลจีนมีนโยบาย ในการลดการผลิตเหล็กภายในประเทศลง ก็ยังไม่ได้ตอบโจทย์ว่า จีนจะลดการส่งออกเหล็กไปตีตลาดโลกในราคาที่ถูกกว่า 

ตรงกันข้าม หากดูจากสถิติการส่งออกเหล็กมายังประเทศไทยในขณะนี้ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ล่าสุด “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์ 2 กูรูวงการอุตสาหกรรมเหล็กออกมาสะท้อนมุมมอง ข้อกังวล  และทิศทางปี 2569 ไว้อย่างน่าสนใจ

นำเข้าพุ่งไม่หยุดกระทบหนัก

นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตัวเลขจากสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 ไทยผลิตเหล็กได้ 4.36 ล้านตัน ส่งออก 0.97 ล้านตัน นำเข้าเหล็ก 7.04 ล้านตัน หรือนำเข้าเกือบ 2 ใน 3 ของความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยเฉพาะเหล็กจากจีนที่มีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของการนำเข้าทั้งหมด

บัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ราคาเฉลี่ยของเหล็กนำเข้าเหล็กลดลงถึงราว 15% ทำให้ผู้ประกอบการในไทยหลายรายยังต้องเผชิญกับภาวะขาดทุน ขาดสภาพคล่อง และบางรายถึงขั้นต้องหยุดการผลิตแล้ว

 

แนวโน้มจีนทุบสถิติส่งออก

ในประเทศจีนเอง การบริโภคเหล็กดิบช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ลดลง 6% แต่มีการส่งออกถึง 75.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 20% และมีแนวโน้มจะทำลายสถิติสูงสุดของการส่งออกเหล็กของจีนที่ทำไว้ในปีก่อนที่ 117 ล้านตัน การทุ่มตลาดยังคงมีอยู่ในแนวโน้มที่สูงขึ้น คาดการณ์สถานการณ์จะยังไม่ดีขึ้นในปีหน้า แม้ในปีนี้รัฐบาลจีนได้ประกาศเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาถึงนโยบายจะลดการผลิตเหล็กลง และตามด้วยประกาศแผนในเดือนสิงหาคมห้ามเพิ่มกำลังการผลิต

แต่ในทางปฏิบัติคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานที่จะลดผลผลิตส่วนเกิน เนื่องการบริโภคในประเทศจีนยังมีแนวโน้มลดลงทุกปี ดังนั้นปัญหาการทุ่มตลาดจากผลผลิตเหล็กส่วนเกินจะยังคงมีอยู่ต่อไป และด้วยสถานการณ์กำลังการผลิตเหล็กส่วนเกินของทั้งโลกในปัจจุบัน การใช้มาตรการการทางการค้าระหว่างประเทศต่าง ๆ กับสินค้าเหล็กจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

‘เหล็กจีน’ ทุ่มตลาดไทยแรงไม่ตก ปีนี้จ่อพุ่ง 5.6 ล้านตัน ผู้ผลิตไทยเสี่ยงหนัก

สำหรับกรณีสหรัฐอเมริกาได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กจาก 25% เป็น 50% ภายใต้กฎหมายความมั่นคง Section 232 ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการส่งออกท่อเหล็ก เหล็กเคลือบ เหล็กรีดเย็น และผลิตภัณฑ์จากเหล็กอื่น ๆ ของไทยที่เคยไปสหรัฐ ขณะนี้ท่อเหล็กยังส่งออกได้บ้าง แต่ด้วยมาร์จิ้นที่ตํ่ามาก การส่งออกเหล็กรีดเย็นกับเหล็กเคลือบยังหยุดชะงัก ขณะที่ผลิตภัณฑ์จากเหล็กและเหล็กเคลือบ เช่น ตู้เหล็ก ชั้นวางของ เฟอร์นิเจอร์เหล็ก ยังส่งออกได้

สมาชิกกลุ่มฯเหล็ก กลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐกลุ่มนี้มองแนวโน้มโอกาสอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ ผลิตภัณฑ์ในส่วนที่ผู้ผลิตในสหรัฐไม่ผลิตเอง เช่น เกรดพิเศษ หรือผลิตไม่พอ หรือไม่ชอบผลิตเพราะผลิตภาพตํ่า เช่น เหล็กรีดเย็นที่บางมาก ๆ ท่อสเตนเลสเกรดพิเศษ เป็นต้น มีแนวโน้มเริ่มผ่อนปรน โดยกำหนดโควตาให้ผู้นำเข้าที่สหรัฐ นำเข้าด้วยอัตราภาษีตํ่าลง เช่นเหลือ 25% ให้กับบางประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามและพิจารณาเพื่อแสวงหาโอกาส โดยอาจต้องร่วมมือกับผู้นำเข้าที่สหรัฐและขอการสนับสนุนจากภาครัฐในการเจรจาต่อไป

เหล็กจีนมาไทยปี 68 จ่อ 5.6 ล้านตัน

สอดคล้องกับ นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย มองว่า ในปี 2569 ยังต้องจับตาการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย ซึ่งสินค้าเหล็กจะมีการขยายตัวตาม GDP อย่างไรก็ตามปัญหาการมีกำลังการผลิตส่วนเกินของโลกและจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลกยังเป็นปัญหาสำคัญและยังกดดันการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กในไทย ทั้งนี้ในปี 2567 ไทยบริโภคเหล็ก 16.5 ล้านตัน ส่วนปี 2568 คาดจะอยู่ที่ประมาณ 16.7 ล้านตัน และปี 2569 คาดการณ์ที่  16.9 ล้านตัน

วิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย

“แม้รัฐบาลจีนมีนโยบายในการลดการผลิตเหล็ก  แต่ถ้าเราดูจากสถิติการส่งสินค้าเหล็กจากประเทศจีนมายังประเทศไทยในปี 2568 รอบ 7 เดือนที่ผ่านมา ค่อนข้างสูงถึง 3.29 ล้านตัน ถ้าคิดที่ 12 เดือน อาจจะสูงถึง 5.6 ล้านตัน ยังเพิ่มขึ้นถึง 12% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าการส่งออกของจีนยังมีอยู่สูง ทำให้ตลาดสินค้าเหล็กในประเทศไทยยังคงน่าเป็นห่วง”

ปัจจุบันประเทศไทยมีการไต่สวนการทุ่มตลาดและการหลบเลี่ยงการทุ่มตลาดตามกฎหมาย และหลักการของ WTO เพื่อให้เกิดการค้าที่เป็นธรรม โดยภาพรวมในปี 2568 มีการเปิดไต่สวนในสินค้าเหล็กหลายรายการ เชื่อว่าผลที่ออกมาน่าจะเป็นไปอย่างยุติธรรม

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า นอกจากเหล็กแล้วยังมีสินค้าที่มีสถิติการนำเข้าสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่สินค้าโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป (พิกัด7308)  ซึ่งมีสถิติการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและเป็นการทดแทนการใช้สินค้าเหล็กภายในประเทศ ถึง 680,000 ตันในปี 2567 และเพิ่มขึ้นทุกเดือนตลอด 7 เดือนของปี 2568  ทั้งนี้ส่วนหนึ่งที่ตัวเลขการบริโภคเหล็กปกติหายไปก็เนื่องจากการเปลี่ยนไปเป็นการนำเข้าสินค้าโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป แทนสินค้าเหล็กปกติ

ฝากรัฐกระตุ้นการใช้เหล็ก

อย่างไรก็ตาม กูรูด้านเหล็กทั้งสองราย กล่าวทิ้งท้าย โดยเห็นตรงกันว่ารัฐบาลจะต้องดูความต่อเนื่องของนโยบายที่ดี สิ่งที่อยากเห็นคือไม่ว่ารัฐมนตรีจะเป็นท่านใด ก็ควรให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการอุตสาหกรรม รวมถึงกวดขันกำกับเรื่องมาตรฐานสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของอุตสาหกรรมเหล็ก แต่เป็นเรื่องของผู้บริโภคทั้งประเทศ

อีกทั้งอยากให้รัฐบาลลงมากระตุ้นอุปสงค์ในประเทศโดยรัฐ การบริโภคเหล็กในประเทศไทยส่วนใหญ่คือการก่อสร้างและอุตสาหกรรมการผลิต อยากให้กระตุ้นอุปสงค์ในประเทศด้วยการเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทุกด้านที่จำเป็น

รวมถึงการลดต้นทุนพลังงาน ปัจจุบันต้นทุนค่าไฟฟ้าสำหรับโรงงานเหล็กสูงมาก เป็นต้นทุนหลักของการผลิต โดยเฉพาะโรงหลอม ที่ใช้ไฟฟ้าปริมาณมาก ขณะนี้ทราบดีว่ารัฐกำลังพิจารณาหาทางปรับโครงสร้างค่าไฟเพื่อลดค่าไฟฟ้า ถ้าเร่งรัดส่งเสริมการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ และพิจารณาค่าไฟฟ้าราคาพิเศษช่วงกลางวันสำหรับอุตสาหกรรมเหล็ก  

นอกจากนี้ต้องสร้างความเป็นธรรมทางการค้าด้วยมาตรการ AD และ AC และ Safeguard ที่ทันท่วงที กับการค้าที่ไม่เป็นธรรม ด้วยการบูรณาการข้อมูลการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาครัฐ คือ กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงอุตสาหกรรม (สมอ.) และ กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) ผ่านระบบ National Single Window ซึ่งถ้ามีการปรับปรุงต่อยอดจากระบบที่มีอยู่ ก็จะสามารถใช้ดูแนวโน้มของการนำทั้งปริมาณและราคาที่ผิดปกติล่วงหน้าได้