10 สมาคมเหล็กยื่นค้านเปิดโรงงานที่ถูกปิดหวั่นกระทบเศรษฐกิจ

24 ต.ค. 2568 | 09:06 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ต.ค. 2568 | 05:36 น.

10 สมาคมเหล็กยื่นหนังสือถึงรมว.อุตสาหกรรมค้านเปิดโรงงานที่ถูกปิดหวั่นกระทบเศรษฐกิจภาพรวม เสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน

KEY

POINTS

  • กลุ่ม 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ยื่นหนังสือถึงกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อคัดค้านการอนุญาตให้โรงงานผลิตเหล็กที่เคยถูกสั่งปิดเนื่องจากผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐาน กลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง
  • แสดงความกังวลว่าหากโรงงานดังกล่าวกลับมาเปิด อาจผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตที่ไม่ได้มาตรฐานออกสู่ตลาดอีก ซึ่งเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของประชาชนและสร้างการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
  • ชี้ให้เห็นว่าโรงงานที่ถูกสั่งปิดส่วนใหญ่ใช้กระบวนการผลิตที่ไม่มีเตาปรุงน้ำเหล็ก (Ladle Furnace) ทำให้ไม่สามารถควบคุมส่วนประกอบทางเคมีและกำจัดสารปนเปื้อนในเศษเหล็กได้ตามมาตรฐาน มอก.
  • เสนอให้กระทรวงอุตสาหกรรมบังคับให้โรงงานต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ มอก. อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการมีและใช้งานเตาปรุงน้ำเหล็ก และเปิดเผยผลการตรวจสอบอย่างโปร่งใสก่อนอนุญาต

แหล่งข่าวจากอุตสาหกรรมเหล็ก เปิดเผยว่า 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ได้ทำหนังสือถึงนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การพิจารณาอนุญาตการประกอบกิจการของผู้ผลิตเหล็กที่ถูกสั่งให้ระงับชั่วคราว

โดยมีสำเนาเรียนถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ,ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ,เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีข้อความระบุว่า 

สืบเนื่องจากการเข้าตรวจสอบโรงงานผู้ผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต โดยกระทรวงอุตสาหกรรมในช่วงเวลาที่ผ่านมา พบว่า มีการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ขาดมาตรฐานในการจัดการด้านความปลอดภัยและการจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งในขณะนี้โรงงานผู้ผลิตจำนวนหนึ่งยังคงถูกคำสั่งของกระทรวงอุตสาหกรรมให้ปิดโรงงานชั่วคราว โดยล่าสุดทราบว่าโรงงานที่ถูกสั่งปิดดังกล่าว กำลังพยายามขออนุญาตกระทรวงอุตสาหกรรมมาเปิดดำเนินการใหม่อีกครั้ง 

ซึ่งในเรื่องนี้กลุ่ม 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย มีความห่วงใยเป็นอย่างมากว่า หากมีการอนุญาตให้โรงงานเหล่านี้กลับมาผลิตสินค้าด้วยการปฏิบัติแบบเดิม ก็จะมีสินค้าเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตไม่ได้มาตรฐานกระจายออกสู่ตลาดอีกครั้ง ซึ่งจะกลับไปสร้างความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชน และการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ผลิตสินค้าที่เป็นไปตามมาตรฐาน

ทั้งนี้ จากข้อมูลการเข้าตรวจสอบโรงงานของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ผ่านมา พบว่า โรงงานที่ถูกระงับการประกอบกิจการดังกล่าว ใช้กระบวนการหลอมด้วยเตา Induction Furnace (IF) ซึ่งข้อจำกัดของเตาหลอมประเภทนี้ คือ ไม่มีระบบออกซิเดชัน (Oxidation) และการสร้างสแลก (slag) สำหรับกำจัดหรือดูดซับสารมลทิน เช่น ฟอสฟอรัส กำมะถัน และสิ่งเจือปนที่มากับเศษเหล็ก เช่น โบรอน เป็นต้น  

ทำให้ควบคุณคุณสมบัติทางเคมีตลอดจนปริมาณของสารมลทินและสิ่งเจือปนได้ยาก จึงต้องมีกระบวนการคัดเลือกเศษเหล็กที่ใช้เป็นวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน และเตรียมเศษเหล็กที่สะอาด และต้องมีการเติมส่วนผสมทางเคมีด้วยธาตุต่างๆ ลงไปในกระบวนการหลอมอย่างแม่นยำและจะต้องมีกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็กด้วยเตาปรุงน้ำเหล็ก (Ladle Furnace) แต่ปรากฏว่าโรงงานกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่มีเตาปรุงน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ (Ladle Furnace) 

กล่าวคือ มีเพียง 2 โรงงานเท่านั้นที่มีเตาปรุงแต่มิได้มีการใช้งานในการผลิตอย่างสม่ำเสมอแต่อย่างใด สิ่งที่เป็นประจักษ์พยาน อีกอย่างหนึ่งคือ การตก มอก. ที่ผ่านมาของบางโรงงาน ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการไม่สามารถควบคุมส่วนผสมทางเคมี เช่น ค่าโบรอนให้เป็นไปตามมอก.ได้

ดังนั้น กลุ่ม 10 สมาคมฯ จึงใคร่ขอเรียนเสนอกระทรวงอุตสาหกรรม ได้โปรดพิจารณาให้โรงงานที่ถูกสั่งปิดดังกล่าวที่จะขอกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ มอก. เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตอย่างเคร่งครัดครบถ้วน โดยเฉพาะข้อกำหนดด้านวัสดุการทำและส่วนประกอบทางเคมี ที่กำหนดใน มอก. 20-2559 และ มอก. 24-2559 ข้อ 5.2 ข้อ 5.5. โดยมีรายละเอียด ดังนี้

5.2 การทำเหล็กแท่งเล็ก หรือเหล็กแห่งใหญ่ ที่ใช้ทำเหล็กข้ออ้อย ต้องมีขั้นตอนกรรมวิธีการทำและการควบคุมเป็นส่วนประกอบหนึ่ง ดังต่อไปนี้

(1) มีระบบคัดแยก ตรวจสอบประเมินคุณภาพเศษเหล็ก (scrap) โดยมีการตรวจสอบควบคุมปริมาณของธาตุฟอสฟอรัส และกำมะถันที่เจือปนอย่างเข้มงวด

(2) มีการตรวจสอบคุณภาพส่วนประกอบทางเคมีของน้ำเหล็กในทุกขั้นตอนของกระบวนการทำเหล็กกล้า (steel making) โดยใช้เครื่องมือตรวจสอบที่มีมาตรฐาน

(3) มีกระบวนการทำนำเหล็กให้บริสุทธิ์ (refining process) อย่างเหมาะสม เช่น มีเตาปรุง (ladle furnace) พร้อมการลดฟอสฟอรัส และการลดกำมะถันรวมทั้งปรับแต่งค่าส่วนประกอบทางเคมี ขจัดสารฝั่งใน (inlusion) ได้อย่างเหมาะสม

(4) การหล่อเหล็กแท่งเล็ก หรือ เหล็กแท่งใหญ่ ต้องเป็นการหล่อแบบต่อเนื่อง (continuous casting) ที่มีอัตราการหล่ออย่างน้อย 10,000 kg/hr และมีการควบคุมอัตราการเย็นตัว (cooling rate) ที่เหมาะสม มีขนาดของเตาหลอมไม่ต่ำกว่า 5,000 kg ต่อ 1 เตา และมีความถี่ในการทดสอบส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม

5.3 โรงงานที่ทำเหล็กแท่งเล็ก หรือ เหล็กแท่งใหญ่ และเหล็กข้ออ้อย ต้องมีมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี

5.4 เหล็กแท่งเล็ก หรือ เหล็กแท่งใหญ่ ที่ใช้ทำเหล็กข้ออ้อย อย่างน้อยต้องมีการตรวจสอบในรายการขนาด ลักษณะทั่วไป และส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม

5.5 เหล็กข้ออ้อยต้องเป็นเหล็กกล้าไม่เจือ เป็นต้น

เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อผู้ใช้งานเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตและสาธารณชนว่า สินค้าเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตที่ผลิตในประเทศไทยมีการปฏิบัติตาม มอก.อย่างครบถ้วน ซึ่งการกำหนดมาตรฐานคุณภาพเหล็กเป็นปัจจัยสาคัญต่อความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างอาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆ ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 

จึงขอเรียนเสนอให้มีการบูรณาการการทำงานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ในการตรวจสอบกระบวนการตามข้อกำหนดของ มอก. เพื่อตรวจสอบให้มีการปฏิบัติให้ครบถ้วนตามข้อกำหนดใน มอก. 20-2559 และ มอก. 24-2559 ข้อ 5.2-5.5 ดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องยืนยันว่ามีเตาปรุง Ladle Furnace ที่ใช้งานกับการผลิตทุก heat และเปิดเผยผลการสรวจสอบและแผนการกำกับดูแลการผลิผลิตต่อสังคมอย่างโปร่งใส ก่อนที่จะอนุญาตให้ประกอบกิจการ

สำหรับ  10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ประกอบด้วย สมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์คไฟฟ้า, สมาคมผู้ผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน, สมาคมการค้าผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี, สมาคมผู้ผลิตท่อโลหะและแปรรูปเหล็กแผ่น, สมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย, สมาคมเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย, สมาคมพัฒนาสเตนเลสไทย, สมาคมชุบสังกะสีไทย, สมาคมหลังคาเหล็กไทย และสมาคมโลหะไทย