KEY
POINTS
ข้อมูลจากสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า ช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ประเทศไทยสามารถผลิตเหล็กได้ 4.36 ล้านตัน ขณะที่การนำเข้าเหล็กยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 7.04 ล้านตัน หรือประมาณ 2 ใน 3 ของความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยมีเหล็กจากจีนคิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของการนำเข้า ส่งผลให้ผู้ผลิตในประเทศเผชิญกับภาวะขาดทุน และบางรายต้องหยุดสายการผลิตชั่วคราว
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าความต้องการใช้เหล็กของไทยตลอดทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ราว 16.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 16.5 ล้านตันในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูปยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เหล็กผลิตในประเทศถูกลดบทบาทลงตามไปด้วย
แม้ว่าทางการจีนจะประกาศนโยบายลดกำลังการผลิตเหล็ก แต่การส่งออกมายังประเทศไทยกลับเพิ่มขึ้น โดยตลอด 7 เดือนแรกของปี 2568 จีนส่งเหล็กมายังไทยแล้วกว่า 3.29 ล้านตัน คาดว่าจะพุ่งแตะ 5.6 ล้านตันภายในสิ้นปี เพิ่มขึ้นถึง 12% จากปีที่แล้ว ขณะที่ราคานำเข้าเฉลี่ยลดลงประมาณ 15% ยิ่งสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตในไทยต้องแข่งขันกับราคาถูกมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมเหล็กจึงเสนอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ พร้อมใช้เครื่องมือทางการค้า เช่น มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD), มาตรการตอบโต้การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมากผิดปกติ (Safeguard) และลดต้นทุนด้านพลังงาน เพื่อพยุงอุตสาหกรรมในประเทศให้ยืนหยัดต่อไปได้
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้การนำเข้าเหล็กยังคงสูง แต่ในภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กของไทยเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โดยเฉพาะการใช้กำลังการผลิตที่ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเคยเหลือเพียง 29% ของกำลังการผลิตทั้งหมด แต่ปัจจุบันได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็นราว 33-34% เนื่องจากการเข้มงวดด้านมาตรฐานสินค้า โดยเฉพาะในสมัยของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ที่ผลักดันให้ควบคุมการนำเข้าเหล็กคุณภาพต่ำและการผลิตที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน
รองประธาน ส.อ.ท. ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้รับการยืนยันจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการตอบโต้การทุ่มตลาด และคณะกรรมการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น ว่าจะเร่งรัดกระบวนการพิจารณามาตรการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น AD หรือ Safeguard ให้รวดเร็วมากขึ้น หากดำเนินการได้จริง จะช่วยลดปริมาณการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กยังได้เสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ เข้มงวดในเรื่องคุณภาพของการผลิตเหล็กในประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหลีกเลี่ยงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ที่อาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภคและระบบอุตสาหกรรมโดยรวม
สำหรับแนวโน้มการใช้เหล็กในประเทศปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 10% จากปีก่อน ขณะที่ปริมาณการนำเข้ายังคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องประมาณ 8-9% อย่างไรก็ตาม การใช้กำลังการผลิตภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้ผลิตไทยควรเร่งคว้าไว้ โดยเฉพาะเมื่อประกอบกับงบกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งน่าจะช่วยให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐมากขึ้น และเพิ่มการใช้เหล็ก "Made in Thailand" ได้ในที่สุด ทั้งนี้ คาดว่าความต้องการเหล็กในปี 2569 จะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้