นายภัทรพงศ์ พงศ์สวัสดิ์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ค้าผลผลิตนํ้าตาล จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงทิศทางอุตสาหกรรมนํ้าตาลในขณะนี้ โดยเฉพาะการส่งออก ราคานํ้าตาลในตลาดโลก และการบริโภคภายในประเทศ
นายภัทรพงศ์ มองสถานการณ์นํ้าตาลโลกเป็นรายประเทศว่า บราซิล ผู้ผลิตและผู้ส่งออกนํ้าตาลทรายอันดับที่ 1 ของโลกเปิดหีบอ้อยตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน มีฤดูหีบที่ยาวนานที่สุด เริ่มหีบเมษายน และหีบถึงมีนาคมของปีถัดไป แต่ส่วนใหญ่ต้น ๆ ปีอ้อยก็จะหมด ในฤดูการผลิตปี 2568/69 ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2568
สมาคมโรงงานนํ้าตาลของบราซิล(UNICA) รายงานว่าหีบอ้อยแล้วรวม 163.58 ล้านตัน ผลิตนํ้าตาลทรายได้ 9.4 ล้านตัน เอทานอล 7.49 พันล้านลิตร สัดส่วนอ้อยที่นำมาทำนํ้าตาลทราย 50 % คาดว่าผลผลิตนํ้าตาลทรายของเขตกลาง - ใต้ เซาเปาโลซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกอ้อยหลักของบราซิลจะอยู่ที่ 40.97 ล้านตัน
อินเดีย ในปีการผลิต 2567/68 ผลผลิตปรับตัวลดลงเนื่องจากสภาพอากาศแล้ง ผลิตนํ้าตาลทรายได้ 26 ล้านตัน ขณะที่ต้องการบริโภคภายในประเทศมากถึง 29 ล้านตัน โดยยังมีสต๊อกที่คงค้างเพียงพอสำหรับการบริโภค และมีโควตาส่งออกนํ้าตาลทราย 1 ล้านตัน อินเดียส่งออกได้แล้วประมาณ 6 แสนตัน ส่วนในปีการผลิต 2568/69 คาดว่าอินเดียจะผลิตนํ้าตาลทรายได้ 31.44 ล้านตัน กรณีที่อินเดียมีการส่งออกเพิ่มจะเป็นปัจจัยที่กดดันราคานํ้าตาลทรายในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น
สำหรับไทย ในปีการผลิต 2567/68 หีบอ้อยได้รวม 92.04 ล้านตัน ผลิตนํ้าตาลทรายได้ 10 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีการผลิตก่อนที่มีอ้อยเข้าหีบ 82.16 ล้านตัน มีนํ้าตาลทราย 8.80 ล้านตัน สำหรับในการผลิตปีหน้า 2568/69 คาดว่าปริมาณอ้อยจะเพิ่มเป็น 100 - 103 ล้านตัน สาเหตุหลักๆ ที่ปริมาณอ้อยเพิ่มมากขึ้นมาจากสภาพฟ้าฝนที่เป็นใจ การขยายพื้นที่เพาะปลูก ประกอบกับราคาอ้อยในปีการผลิต 2566/67 และ 2567/68 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี หลังปริมาณฝนค่อนข้างดีและมีการขยายพื้นที่ปลูกอ้อย ส่วนผลผลิตนํ้าตาลทรายคาดว่าจะอยู่ที่ 11.40-11.60 ล้านตัน
จีน ผลิตนํ้าตาลทรายได้ 11.23 ล้านตัน ต้องการบริโภค 16 ล้านตัน ยังต้องนำเข้าอีกประมาณ 5 ล้านตัน สำหรับในปี 2568 จีนยังมีการนำเข้านํ้าตาลทรายดิบส่วนใหญ่จากบราซิลและลดการนำเข้านํ้าเชื่อม แต่ยังมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์ประเภทนํ้าตาลผสมจากไทยที่เริ่มมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะนี้ (ในพิกัดรายการสินค้าที่แตกต่างจากที่ถูกแบน) ตลาดกำลังติดตามว่าทางการจีนจะยกเลิกการแบนสินค้านํ้าเชื่อมและนํ้าตาลผสมจากไทยหรือไม่ในอนาคต
สำหรับประเทศที่มีการนำเข้านํ้าตาลจากไทยลดลง ไล่ตั้งแต่การส่งนํ้าตาลเข้าเขตประกอบการเสรี (Free Zone) ลดลงถึง 76.08% หลังจีนประกาศแบนการนำเข้านํ้าเชื่อมและนํ้าตาลผสมจากไทยตั้งแต่ ธ.ค. 2567 ส่งผลให้การส่งออกนํ้าตาลทรายขาวและรีไฟน์ลดลง กระทบผู้ประกอบการที่ลงทุนสร้างโรงงานไว้แล้ว และทำให้ราคาพรีเมียมนํ้าตาลทั้งสองชนิดปรับตัวลดลงตาม
ส่วนเวียดนาม เริ่มลดการนำเข้านํ้าตาลจากไทยตั้งแต่ปี 2563 หลังเปิดตลาดภายใต้ความตกลง ATIGA โดยเห็นว่าไทยส่งออกมากเกินไปจนกระทบอุตสาหกรรมภายใน จึงประกาศใช้มาตรการ AD/CVD ตั้งแต่ มิ.ย. 2564 ขึ้นภาษีนํ้าตาลจากไทยจาก 0% เป็น 47.64% ทำให้การส่งออก นํ้าตาลไทยลดลงต่อเนื่อง เหลือเพียง 285,024 ตันในปี 2567 และ 117,248 ตัน (ม.ค.-พ.ค. 2568)
ด้านญี่ปุ่น ซึ่งเคยนำเข้านํ้าตาลจากไทยสูงถึง 600,000-700,000 ตันต่อปี ในปี 2557-2558 ก็ลดการนำเข้าเหลือ 121,180 ตันในปี 2567 และ 65,107 ตันในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 เนื่องจากข้อตกลง FTA ญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2558 ส่งผลให้ญี่ปุ่นหันไปนำเข้าจากออสเตรเลียแทน ซึ่งปี 2567 ออสเตรเลียส่งออกนํ้าตาลไปญี่ปุ่นกว่า 1 ล้านตัน
นายภัทรพงศ์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทย สภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีเหมือนก่อนทั้งจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดน้อยลง และความระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ประกอบกับนโยบายเรื่องภาษีความหวาน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการจำหน่ายนํ้าตาลทรายภายในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีการปรับสูตรการผลิตสินค้าโดยหันไปใช้สารทดแทนความหวาน อื่นๆ แทนนํ้าตาลทราย คาดว่าในปี 2568 ปริมาณการบริโภคภายในประเทศจะอยู่ที่ 2.4 ล้านตัน ลดลงจากระดับปกติที่ปีละ 2.5 ล้านตัน
“เวลานี้โลกยังเผชิญกับความท้าทายหลาย ๆ เรื่องที่เป็นปัจจัยกดดันการบริโภคนํ้าตาลทราย ทั้งเรื่องนโยบายภาษีของสหรัฐ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อิสราเอล-อิหร่าน ทั้งนี้แม้ไทยจะส่งออกนํ้าตาลทรายไปสหรัฐ ปีละประมาณ 13,000 ตัน (ตามโควตานำเข้าของสหรัฐ) ซึ่งอาจได้รับผลกระทบทางด้านภาษีที่สหรัฐจะเก็บจากไทยสูงขึ้น
แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือ ภาระภาษีที่หลาย ๆ ประเทศต้องเผชิญจะทำให้เกิดปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอยและอาจจะส่งผลต่ออำนาจการใช้จ่ายของคนซึ่งก็จะโยงมาสู่การบริโภคนํ้าตาลทรายในที่สุด” ภาษีที่สหรัฐจะเก็บจากไทยสูงขึ้น แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือ ภาระภาษีที่หลายๆ ประเทศต้องเผชิญจะทำให้เกิดปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอยและอาจจะส่งผลต่ออำนาจการใช้จ่ายของคนซึ่งก็จะโยงมาสู่การบริโภคนํ้าตาลทรายในที่สุด”