ในด้านหนึ่ง จีนมองว่า ธุรกิจเมล็ดพันธุ์ของต่างชาติก็มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งในด้านการสร้างความมั่นคงทางอาหารของจีน การจ้างแรงงาน และการสร้างความกระชุ่มกระชวยในพื้นที่ชนบทของจีน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง จีนก็ยังอาจขาดความพร้อมในหลายด้าน จึงเดิมเกม “เปิดประตู” ต้อนรับการลงทุนของต่างชาติอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะแรก และเร่งเร็วขึ้นในระยะหลัง เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการปกป้องเมล็ดพันธุ์ในท้องถิ่น และการนำพันธุ์คุณภาพสูงจากต่างประเทศมาใช้ประโยชน์
กล่าวคือ ในระยะแรก ธุรกิจสัญชาติจีนต้องมีสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจเมล็ดพันธุ์ร่วมทุน และการห้ามไม่ให้ธุรกิจต่างชาติลงทุนในการผลิตเมล็ดพันธุ์ตัดต่อพันธุกรรมและการวิจัยและพัฒนา
จนกระทั่งในช่วงปลายทศวรรษ 2010 จีนก็เริ่มปลดล็อกหลายเงื่อนไขการประกอบธุรกิจการเกษตรจาก Negative Lists และเปิดให้ต่างชาติลงทุนได้โดยไม่ต้องร่วมทุนกับกิจการท้องถิ่น อาทิ การขายส่งข้าวสาลี และ ข้าวโพด การผลิตเมล็ดพันธุ์ (ยกเว้นข้าวสาลีและข้าวโพด) และการวิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์ตัดต่อพันธุกรรม
ในกลางปี 2020 NDRC และกระทรวงพาณิชย์จีน ยังผ่อนคลายกฎระเบียบในการเพาะพันธุ์เมล็ดข้าวสาลี การคัดเลือกและปรับปรุงข้าวสาลีพันธุ์ใหม่ รวมทั้งการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีสำหรับกิจการต่างชาติ ทั้งนี้ หุ้นส่วนจีนต้องมีสัดส่วนการถือหุ้นไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของเงินลงทุนโดยรวม
นอกจากนี้ เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีชีวภาพเมล็ดพันธุ์ได้กลายเป็นหนึ่งในประเด็นหลักของการประชุมสัมมนาเมล็ดพันธุ์ในจีนตลอดหลายปีหลัง โดยในระหว่างปี 2020-2021 จีนอนุญาตการนำเข้าพืชจีเอ็มโอราว 50 ชนิด ซึ่งรวมถึงถั่วเหลือง อย่างไรก็ตาม การปลูกพืชจีเอ็มโอในเชิงพาณิชย์เกือบทั้งหมดยังคงผิดกฎหมาย ยกเว้นผ้าย มะละกอ มะเขือเทศ และ ยาสูบบางสายพันธุ์
การอนุญาตให้ขายเมล็ดพืชจีเอ็มโอ เป็นอีกประเด็นความท้าทายที่จีนให้ความสำคัญ เพราะคนจีนจำนวนมากยังกังวลใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของพืชจีเอ็มโอเพื่อการบริโภค แต่หากไม่สามารถขายเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอได้ ก็อาจทำให้ไม่มีแรงจูงใจในการผลิตเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ ขณะเดียวกัน หากอนุญาตเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอแก่กิจการของจีน ก็ควรเปิดตลาดให้แก่กิจการต่างประเทศด้วยเช่นกัน
ในปลายปี 2024 จีนยังอนุมัติการใช้เมล็ดพืชจีเอ็มโอในหลายประเภทเพิ่มขึ้น อาทิ ถั่วเหลือง ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโพด และ ฝ้าย ในหลายสายพันธุ์แก่ธุรกิจเมล็ดพันธุ์รายใหญ่ของจีน อาทิ กลุ่มธุรกิจต้าเป่ยหนงเทคโนโลยีแห่งปักกิ่ง (Beijing Dabeinong Technology Group Co) และอนุมัติการนำเข้าถั่วเหลือจีเอ็มโอที่ทนทานต่อแมลงและสารกำจัดวัชพืชแก่ BASF บริษัทเคมีภัณฑ์เยอรมนี
ขณะที่บริษัทเมล็ดพันธุ์ชั้นนำของจีนและต่างชาติดังกล่าว ก็พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระดมทรัพยากรของนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร และการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพาะเมล็ดพันธุ์เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์นวัตกรรมอุตสาหกรรมการเพาะเมล็ดพันธุ์
ข้อมูลอย่างเป็นทางการแสดงให้เห็นว่า การสนับสนุนส่งเสริมของภาครัฐ ส่งผลให้ผลผลิตธัญพืชเฉลี่ยของจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลผลิตทางเกษตรของจีนมากกว่า 650 ล้านตันต่อปี โดยทำสถิติใหม่ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2024 จีนยังสามารถเก็บเกี่ยวธัญพืชได้มากกว่า 700 ล้านตันได้เป็นครั้งแรก
แถมรัฐบาลจีนในปัจจุบัน ยังกำหนดเป้าหมายผลผลิตธัญพืชไว้อย่างท้าทาย อาทิ การเพิ่มธัญพืช 50 ล้านตัน ภายในปี 2030 โดยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ที่ดิน คุณภาพเมล็ดพันธุ์ และเทคนิคการเกษตร ทำให้ผู้คนในวงการต่างยอมรับว่า นี่เป็น “ทศวรรษของการเติบโตด้านการผลิตที่มั่นคง” ของจีน
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเมล็ดพันธุ์โดยตรง ซึ่งจีนเผชิญกับความท้าทายในหลายระดับ อาทิ ความเป็น “ผู้ตาม” ที่เล็กกว่าของจีนในเวทีเมล็ดพันธุ์โลก กอปรกับปัญหาการปลอมแปลงเมล็ดพันธุ์ และการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องที่กระจายตัวในตลาดจีน ซึ่งมีคดีอยู่เต็มศาลยุติธรรมของจีน ทำให้จีนจำเป็นต้องซื้อเวลาเพื่อเตรียมความพร้อมในการแข่งขัน
ขณะเดียวกัน หากใม่เปิดตลาดและคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา จีนก็อาจจะสูญเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูงจากต่างประเทศ และไม่เกิดการพัฒนาของเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์ภายในประเทศ
การดำเนินนโยบายและมาตรการปกป้องคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจีน ในการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่โปร่งใส เป็นธรรม และยั่งยืน อาทิ การปรับปรุงกฎหมายเมล็ดพันธุ์ และข้อบังคับเกี่ยวกับการปกป้องพันธุ์พืชชนิดใหม่ เพื่อส่งเสริมนวัตกรรม และเพิ่มการคุ้มครองสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งการจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญา ที่จีนเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องผู้บุกเบิกริเริ่มในอุตสาหกรรม
นั่นหมายความว่า จีนให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลของการเพาะเมล็ดพันธุ์แบบดั้งเดิม กับ การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่การเน้นย้ำถึงนวัตกรรม และการประยุกต์ใช้การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพที่ทันสมัย
ธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ประมาณว่า การเปิดเสรีไบโอเทคเมล็ดพันธุ์ ถือเป็นแนวทางที่นำไปสู่ “ผลประโยชน์ร่วม” ยกตัวอย่างเช่น ผลผลิตถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น 10% และข้าวโพดเพิ่มขึ้น 10-15% และสามารถประหยัดพื้นที่การเพาะปลูกได้ถึง 25 ล้านไร่ โดยได้ผลผลิตเท่าเดิม ขณะที่ตลาดข้าวโพดและถั่วเหลือง จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 30% ซึ่งจะทำให้ตลาดเมล็ดพันธุ์ของจีนขยายตัวอีก 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2025
การดำเนินมาตรการดังกล่าว ยังทำให้จีนสามารถสร้างความเชื่อมั่นในเวทีโลก และดึงดูดบริษัทข้ามชาติให้เข้าไปลงทุนด้านนวัตกรรมเมล็ดพันธุ์ในจีน ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาของอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์และภาคการเกษตรของจีน ที่รวดเร็วได้อีกด้วย
ประโยชน์จากการพัฒนาดังกล่าว ยังขยายวงกว้างไปในต่างประเทศ ที่เปิดรับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเมล็ดพันธุ์ ต้าเป่ยหนงเทคโนโลยีนับเป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่ได้นำเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดและถั่วเหลืองจีเอ็มโอไปเพาะปลูก พร้อมกับการต่อยอดด้วยการทำฟาร์มอัจฉริยะในประเทศเป้าหมาย
สิ่งนี้ทำให้จีนสามารถจัดหาแหล่งนำเข้าข้าวโพด และถั่วเหลืองใหม่จากอาร์เจนตินา ทดแทนแหล่งนำเข้าเดิมอย่างสหรัฐฯ ได้อย่างรวดเร็ว แถมยังไม่ต้องทนถูกบีบคั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสงครามการค้า 1.0
ผมขอเรียนว่า จีนพัฒนาความร่วมมือในลักษณะดังกล่าวกับประเทศอื่นในอเมริกาใต้ อาทิ บราซิล ชิลี และ เปรู นี่จึงอาจเป็นคำตอบว่า ทำไมจีนจึงสามารถ “ยืนแลกหมัด” สู้กับสหรัฐฯ ในสงครามการค้า 2.0 ได้
มองออกไปข้างหน้า จีนจะไม่หยุดการวิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์ผ่านเทคโนโลยีชีวภาพ อาทิ การแก้ไขยีนส์ การเพาะพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง และทนทานต่อโรค และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญากว้างขวางมากขึ้น โดยมุ่งเป้าที่จะพัฒนาธัญพืชหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวโพด ข้าว ข้าวสาลี ถั่วเหลือง และ เรพซีด เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร และลดการพึ่งพาเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศ
จากการอดอาหารตายนับล้านคนในยุคแรกของการก่อตั้งประเทศ มาถึงวันนี้ จีนได้พัฒนาอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ และการเกษตรอัจฉริยะจน “ผลิดอกออกผล” ก้าวข้ามปัญหาการขาดแคลนอาหาร และทะยานขึ้นมามีบทบาทนำในวงการเกษตรของโลกกันแล้ว ...
เกี่ยวกับผู้เขียน : ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน, อุปนายกและเลขาธิการสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีน ผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับตลาดจีน มุ่งหวังนำข้อมูลและมุมมอง ความคิดเห็นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การตลาดและอื่น ๆ ที่อยู่ในกระแสของจีนมาแลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน เพื่อเราจะไม่ตกขบวน “รถไฟความเร็วสูง” ของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน