ปั่นป่วนสะท้านไปทั้ง กรมสรรพากร และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน รวมถึงบรรดาผู้ทรงอิทธิพลในขบวนการหลบเลี่ยงภาษีที่เข้าข่ายกฎหมายฟอกเงินในประเทศไทย เมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากตัดสินว่า “การนำประมวลรัษฎากร มาตรา 37 ตรี มาใช้ในการอายัดทรัพย์ นายสุระพงษ์ พิพัฒน์พัลลภ ผู้คัดค้านที่ 1 กับพวกรวม 22 ราย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 37 วรรคหนึ่งและวรรคสอง”
คำตัดสินดังกล่าวยังกลายเป็นประเด็นให้บรรดาข้าราชการใน กรมรรพากร และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ต้องหาทางดำเนินการแก้ไขข้อกฎหมายและวิธีปฏิบัติในการอายัดทรัพย์
ผมได้เกาะติดในการเสนอกฎหมายฉบับนี้มาตั้งแต่ต้น และประเด็นนี้มีข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในช่วงปี 2559-2560 เพราะมีผู้ทักท้วงในเรื่องนี้ว่า เป็นการรอนสิทธิ์และให้อำนาจจนล้าฟ้าแก่ กรมสรรพกร และ ปปง. แต่ตอนนั้น มีการกำหนดและชี้แจงกันชัดเจนว่า จะต้องเข้าองค์ประกอบอะไรบ้างผมขอคัดข้อเขียนของ ดร. เพชรรัตน์ ศุภนิมิตรกุลกิจ ที่เขียนบันทึกไว้ในวารสารภาษีอากรชัดเจนว่า บทบัญญัติชของมาตรา 37 ตรี ที่จำรนะมาซึ่งการยึดทรัพย์ได้นั้น จะต้องเป็นการกระทำความผิดในลักษณะอาชญากรรมเกี่ยวกับภาษีอากรที่จะถือเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่กรมสรรพากรจะทำการส่งข้อมูลให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไปได้นั้น ต้องเข้าองค์ประกอบทั้ง 4 ประการ ดังนี้
1. ต้องเป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากร หรือฉ้อโกงภาษีอากรตามมาตรา 37 มาตรา 37 ทวิหรือมาตรา 90/4 องค์ประกอบนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมายทั้งหมด 4 มาตรา ซึ่งแต่ละมาตราเป็นความผิดอาญาที่เจ้าพนักงานไม่สามารถเปรียบเทียบโดยกำหนดค่าปรับได้ และเป็นความผิดทางอาญาที่มีบทลงโทษหนักปรับและจำคุกในอัตราสูง จำแนกแยกได้ ดังนี้
มาตรา 37 แบ่งออกเป็น 2 กรณี กล่าวคือ (1) กรณีความผิดฐานให้ข้อความ ถ้อยคำ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดงเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีหรือขอคืนภาษีอากร โดยผู้กระทำ “ต้องมีเจตนา” ในการกระทำการดังกล่าวด้วย
(2) กรณีความผิดฐานเจตนาหลีกเลี่ยง พยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีหรือขอคืนภาษีอากร โดยมีการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด คือ กระทำโดยให้ความเท็จ โดยฉ้อโกง อุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดในลักษณะทำนองเดียวกันกับที่กล่าวมาแล้ว กฎหมายได้กำหนดลักษณะการกระทำความผิดในกรณีนี้ไว้ค่อนข้างกว้าง เช่น
•นำรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณเพื่อเสียภาษี ทำให้หักรายจ่ายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดส่งผลให้เสียภาษีต่ำว่าความเป็นจริง
• นำรายได้จากการประกอบกิจการเพียงบางส่วนมาเสียภาษี เป็นต้น
ส่วนมาตรา 37 ทวิ เป็นกรณี “เจตนาไม่ยื่นรายการ” เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี
นอกจากนี้ต้องพิจารณาจาก มาตรา 90/4 เป็นกรณีการกระทำโดยเจตนาของผู้ประกอบการ หรือตัวแทนของผู้ประกอบการในส่วนที่เกี่ยวกับใบกำกับภาษี เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม หลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่มโดยตรงหรือขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทำการใดๆ โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดในลักษณะทำนองเดียวกัน เช่น
• ขายสินค้าได้จำนวนมากกว่าจำนวนที่ปรากฏในใบกำกับภาษี ทำให้มีรายได้จากการขายสินค้านั้นต่ำว่าความเป็นจริง เพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มน้อยลง
• ขายใบกำกับภาษีให้แก่ผู้อื่น (ผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้บริโภครายสุดท้ายไม่ประสงค์ให้ผู้ขายออกใบกำกับภาษี ผู้ขายจึงนำใบกำกับภาษีไปขายให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่นเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม)
• ตั้งบริษัทขึ้นมาหลายบริษัทโดยมีเจตนาเพื่อออกใบกำกับภาษีระหว่างกันเอง (ไม่มีการซื้อขายสินค้าหรือให้บริการกันจริง)
• ปลอมเอกสาร เช่น ใบขนสินค้า ใบกำกับภาษี เพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นต้น
เนื่องจากบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากรดังกล่าวข้างต้นเข้าลักษณะเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพ และทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดเป็นอย่างมาก ดังนั้น การจะตัดสินว่าบุคคลใดกระทำความผิดและจะได้รับโทษทางอาญาหรือไม่นั้น กฎหมายจึงมุ่งพิจารณาถึงเรื่อง “เจตนา” เป็นสำคัญ
การกระทำโดยเจตนา หมายถึง การที่ได้ทำผิดโดยรู้สำนึกในสิ่งที่ได้ทำลงไป และในการทำนั้น ผู้ทำความผิดก็หวังผลที่ได้จากการทำนั้น หรือรู้ คาดได้ว่า หากทำผิดแล้วจะเกิดสิ่งใดขึ้นจากการกระทำนั้น
นอกจากการพิสูจน์เรื่องเจตนาธรรมดา (สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ "กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา") แล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งในประเด็นเกี่ยวกับการกระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับภาษีอากรเช่น กรณีมาตรา 90/4 (7) แห่งประมวลรัษฎากร (ผู้ประกอบการโดยเจตนานำใบกำกับภาษีปลอมหรือใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไปใช้ในการเครดิตภาษี) ได้เกี่ยวโยงกับความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญาการพิจารณาองค์ประกอบความผิดอาญา จึงอาจต้องพิจารณามาตรา 264 แห่งประมวลกฎหมายอาญาด้วย โดยต้องพิสูจน์มูลเหตุจูงใจในการกระทำอันเป็นเจตนาพิเศษต่อศาล เช่น ทำเอกสารปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง เป็นต้น มิฉะนั้นแล้วศาลก็ไม่อาจลงโทษผู้กระทำความผิดได้ เป็นต้น
2. ต้องเป็นการกระทำที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษีอากร ฉ้อโกงภาษีอากร หรือขอคืนเงินภาษีอากรนั้น ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษีอากรตามจำนวนที่กำหนด ดังนี้
2.1 กรณีการหลีกเลี่ยงภาษีอากร หรือฉ้อโกงภาษีอากรเช่น จ่ายภาษีขาดไป หรือหักการรายจ่ายเป็นเท็จ การออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริง เป็นต้น จำนวนตั้งแต่ 10 ล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป หรือ
2.2 กรณีขอคืนเงินภาษีอากรไม่ถูกต้อง โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน จำนวนตั้งแต่ 2 ล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป
3. ต้องเป็นการกระทำของผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตาม 1. และหรือ 2. ข้างต้น ได้กระทำในลักษณะที่เป็นกระบวนการ หรือเป็นเครือข่ายโดยสร้างธุรกรรมอันเป็นเท็จหรือปกปิดเงินได้พึงประเมินหรือรายได้เพื่อหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรเจตนาขององค์ประกอบนี้ไม่ได้มุ่งแค่ผู้กระทำความผิดทางภาษีอากรเพียงคนเดียว หรือกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มเดียว แต่มีเจตนาจัดการกับกลุ่มบุคคลที่กระทำความผิดทางภาษีอากรโดยกระทำเป็นขบวนการเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมาก เช่น กรณีการหลีกเลี่ยง หรือการฉ้อโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม จากการส่งสินค้าออกไปต่างประเทศ ซึ่งมีผู้ร่วมกระทำความผิดหลายคนในลักษณะเป็นโครงข่าย และมีจำนวนเงินของเสียหายหลายพันล้านบาท เป็นต้น
4. ต้องมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อมิให้ติดตามทรัพย์สินนั้นได้
หากการกระทำความผิดทางภาษีเข้าองค์ประกอบทั้ง 4 ประการข้างต้นและคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่ายความผิดมูลฐาน (ประกอบด้วย อธิบดีรองอธิบดีและที่ปรึกษากรมสรรพากรทุกคน) เห็นว่าความผิดดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมสรรพากรจะส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินต่อไป
นี่คือขั้นตอนของการจะยึดทรัพย์ตามมาตรา 37 ตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินและมีมติว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นนี้ การอายัดทรัพย์ในการหลีกเลี่ยงภาษี จึงจำกัดวงแคบแค่ความผิดตามมาตรา 37 มาตรา 37 ทวิ และมาตรา 90/4 แห่งประมวลรัษฎากรเท่านั้น
และเมื่อศาลมีมติเช่นนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณากันด่วนว่า จะมีผลกับไทยอย่างไร ในเมื่อการอออกฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นจากมูลเหตุที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์กรต่อต้านการฟอกเงินเอเชียแปซิฟิก (Anti-Pacific Group on Money Laundering-APG) และมีพันธกรณีที่ต้องเข้ารับการประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) ซึ่งมี Financial Action Task Force (FATF) เข้ามาประเมิน
หากประเทศไทย ออกกฎหมายมาใช้แล้วแต่ขัดกับรัฐธรรมนูญและข้อบังคับนี้หมดสภาพไป กลุ่มประเทศสมาชิก 35 ประเทศ และ 2 องค์กร (The Gulf Cooperation Council และ The European Commission) โดยสมาชิกของ FATF ประกอบด้วย ประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศคู่ค้าของไทย เช่น สหรัฐอเมริกา ประเทศญี่ปุ่น กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป อาจใช้มาตรการตอบโต้ทางการเงินที่จะส่งผลให้การทำธุรกรรมของลูกค้า หรือสถาบันการเงินไทยเกิดความล่าช้า เพราะจะถูกสถาบันการเงินต่างประเทศตรวจสอบธุรกรรมอย่างเข้มข้น และอาจจะประเมินความสัมพันธ์กับสถาบันการเงินไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจมีผลต่อการตัดสินใจยกเลิกความสัมพันธ์ จนอาจกระทบต่อการค้าการลงทุนระหว่างประเทศของประเทศไทยได้
นี่คือ ปัญหาที่จะคลานตามมาในเรื่องการฟอกเงิน-การต่อต้านการก่อการร้าย และการสนับสนุนเงินแก่ขบวนการก่อการร้าย จะตามมารังควานไทยแน่!