ต้องยอมรับว่าในยุคนี้ใครๆ ก็แสวงหาความสำเร็จกันด้วยกันทั้งสิ้น หลายคนแสวงหาทางรัดเพื่อให้ตนเองประสำเร็จความสำเร็จแบบก้าวกระโดดรวดเร็ว
ส่วนหนึ่ง อาจมาจากค่านิยม รูปแบบของชาวตะวันตกที่ชื่นชอบความสำเร็จและก็เกษียณอายุ ในการทำงานก่อนวัยเกษียณจริง ถ้าเรามองแต่ความเป็นจริงแล้ว ความสำเร็จที่ได้มาแบบเร็วๆ โดยมากจะเป็น ความสำเร็จที่ไม่มั่นคง เป็นความสำเร็จฉาบฉวย เป็นความสำเร็จแบบชั่วคราวมากกว่า ชีวิตจริงของมนุษย์นั้น เราต้องเรียนรู้ผ่านโลกผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควรกับช่วงวัยหนึ่ง จึงจะทำให้ได้รับความสำเร็จได้อย่างมั่นคงอย่างแท้จริง
พระพุทธเจ้าเองก็สอนเรื่องของความสำเร็จในชีวิตเอาไว้ สำหรับคนที่ทำงานไม่ว่าจะเป็นงานธุรกิจส่วนตัวหรือทำงานออฟฟิศหรือจะงานรูปแบบองค์กรต่างๆ ทรงสอนว่า
1. มีศรัทธา คือ มีความรัก ความเชื่อมั่น กับงานที่ทำอยู่
2. มีศีล คือ มีความจริงใจในอาชีพ อย่างมีจริยธรรม คุณธรรม ไม่ทรยศต่ออาชีพของตัวเอง
3. มีสุตะ คือ มีการเรียนรู้เรื่องใหม่ๆตลอดเวลา หาประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ
4. มีจาคะ คือ รู้จักแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ที่มีให้แก่ผู้ร่วมงานตามโอกาสเหมาะสม
5. มีปัญญา คือ แก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ด้วยสติปัญญา มากกว่าการใช้อารมณ์
ถ้าเราสามารถปฏิบัติได้ตามนี้ที่พระพุทธเจ้าสอน ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นในชีวิตของเราอย่างแน่นอนและเป็นความสำเร็จที่มั่นคงเป็นความสำเร็จที่มั่งคั่ง และอยู่กับเราอย่างยาวนาน
ลองกลับมาทบทวนดูว่าทั้ง 5 ข้อนี้เราขาดข้อใดบ้าง ถ้าเรายังปรารถนาความสำเร็จอย่างแท้จริงเราต้องปฏิบัติได้ทุกข้ออย่างเคร่งครัดอย่างต่อเนื่อง
ความสำเร็จแบบนี้ใครๆก็พึงปรารถนาด้วยกันทั้งสิ้น
ทุกคนบนโลกใบนี้ต่างมีเมล็ดพันธุ์แห่งความสำเร็จอยู่ในตัวของตัวเองกันทุกคนเพียงแต่เราบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์นั้นได้ถูกต้องทั้งกาลเวลาถูกต้อง ทั้งอุณหภูมิของชีวิตหรือไม่ก็เท่านั่น
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนในเชิงปรัชญา เพื่อทำให้เราเกิดความสุขคิดแบบฉับพลันได้นั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมากมาย และเป็นปรัชญาที่สามารถนำเอามาใช้ได้จริงจึงเรียกว่า
"ทำมา.. ธรรมะ"
ทำมาคือทำมาหากิน
ธรรมะคือ ความจริงที่ถูกต้อง
เมื่อเราไม่ได้แสวงหาความรู้สึกผลใดๆแต่เราแสวงหาความสุขความสงบในจิตใจ และดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติสุข ประสบความสำเร็จในด้านการงานก็ต้องพึงปฏิบัติเช่นนี้