*** กาแฟขมเขย่าข่าวต้นสัปดาห์นี้คงทราบแล้ว ไทยถูกสหรัฐ ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หรือ GSP ด้วยว่ามะกันเห็นว่า ไทยไม่ยอมเปิดตลาดหมูให้กับมะกัน ซึ่งหมูนั้นมีสารเร่งเนื้อแดงเกินมาตรฐานสากลที่เราจะยอมรับได้ แต่สหรัฐไม่ยอมเจรจามาหลายรอบ จึงฉวยโอกาสตอบโต้เอาเสีย เที่ยวนี้ตัดสิทธิไป 231 รายการ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อปี 62 ตัดไป 573 รายการ รวม 2 ปีตัดไป 804 รายการ การฟาดงวงฟาดงาของมะกันก็ทำไปเรื่อยด้วยตัวเองมีอำนาจต่อรองสูงกว่า ผู้ค้าอย่างไทยก็ต้องรับกรรมเป็นฝ่ายผิด ไม่ต่างหมาป่ากับลูกแกะในนิทานอีสป ถ้าจะหาเรื่องกันจริงๆ ก็หากันจนได้นั่นแหล่ะ
*** ไม่เฉพาะขัดเคืองใจหมูเนื้อแดงอย่างเดียว แต่เงื่อนไขที่เขาจะตัดสิทธิจีเอสพีนั้นจะดูไปที่ระดับ ระดับการพัฒนาประเทศ หากมีรายได้ต่อหัวประชากรเฉลี่ยต่ำ 12,375 ดอลลาร์ไม่ถูกตัด เกินถูกตัด ดูการเปิดตลาด ดูการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ดูการคุ้มครองสิทธิแรงงาน ดูการกำหนดนโยบายลงทุนที่ชัดเจนและลดข้อจำกัดทางการค้า ดูการสนับสนุนสหรัฐในการต่อต้านการก่อการร้าย เฉพาะเรื่องแรงงานนี่ไทยเคยโดนมาแล้ว กรณีไม่ดูแลสิทธิแรงงานเพียงพอ แรงงานต่างด้าวไม่ให้ตั้งสหภาพก่อนหน้านี้และมักหยิบยกขึ้นมาให้เป็นประเด็นอยู่เรื่อยๆ อันนี้ไม่เกี่ยวกับว่าไทย หรือรัฐบาลมีฝีมือหรือไม่มีฝีมือในการเจรจา เหมือนที่ฝ่ายค้านพยายามลากโยงว่าเขาไม่เจรจากับเราเนื่องจากเป็นรัฐบาลทหาร ว่าไปนู้น แบบคนเขลาแต่อยากเอาชนะให้เป็นเหตุโจมตีกันไปอย่างนั้น ต้องทำการบ้านใหม่ อย่าสักแต่พูดเอามัลลล ยังไงมะกันเขาก็ตัดของเขาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองอยู่แล้ว
*** ว่าจริงๆ แล้วในจำนวน 231 รายการที่ถูกตัดสิทธิเที่ยวนี้ มีเพียง147 รายการเท่านั้น ที่เราใช้สิทธิส่งออกไปสหรัฐ และได้รับผลกระทบต้องไปเสียภาษีปกติ เพิ่มขึ้นจากเดิม 3-4 % มูลค่าภาษีที่ต้องเสียเพิ่มประมาณ 570 ล้านบาทเท่านั้น ในสินค้าพวกอุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์และส่วนประกอบ พวงมาลัยรถยนต์ ล้อรถยนต์ กระปุกเกียร์ กรอบโครงสร้างแว่นตาทำด้วยพลาสติก เคมีภัณฑ์ เกลือฟลูออรีน ที่นอนและฟูกทำด้วยยางหรือพลาสติก หลอดและท่อทำด้วยยางวัลแคไนซ์ อะลูมิเนียมเจือแผ่นบาง เข้าใจให้ตรงกันตัดจีเอสพี คือการตัดสิทธิพิเศษทางภาษี ไม่ได้ห้ามนำเข้าสินค้าชนิดนั้นไปเลย เพียงแต่สินค้าไทยจะแพงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งจะมีปัญหาได้ ซึ่งก็ต้องหันมาปรับประสิทธิภาพผลิต คงคุณภาพ ลดต้นทุนของตัวเองให้สามารถแข่งขันได้ โดยไม่หวังพึ่งแต้มต่อ จึงจะเป็นทางออกระยะยาว เพราะแนวโน้มสิทธิแบบนี้วันนึงวันใดก็ถูกตัดสิทธิไม่เหลือซากอยู่ดี
*** สถาบันพระปกเกล้าชงมาแล้ว โครงสร้างและวิธีการทำงานของคณะกรรมการปรองดองสมานฉันท์ รูปแบบที่ 1 มีผู้แทนจากฝ่ายต่างๆ รวม 7 ฝ่าย เช่น ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ตัวแทนของฝ่ายรัฐบาล ตัวแทนของวุฒิสภา และตัวแทนขององค์กรอื่น แต่ก็มีจุดอ่อนหากฝ่ายใดปฏิเสธไม่ร่วมองค์ประชุมก็จะไม่ครบ รูปแบบที่ 2 มีคนกลางที่มาจากการเสนอของฝ่ายต่างๆ หรือประธานรัฐสภาเป็นผู้สรรหา หรือแต่งตั้งคณะกรรมการ ซึ่งยังไม่แน่ใจว่ากรรมการที่ไปทาบทามจะรับหรือไม่ เพราะเขาก็ต้องดูว่าปัญหาที่จะเข้ามาทำคืออะไร ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาบอกอาจประสานรูปแบบที่ 1 และ 2 มาประสานกัน ในส่วนของตัวบุคคล โดยอาจต้องไปถามตัวแทนของฝ่ายต่างๆ ว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ คนนอกจะมาร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องไปคัดคนเอาจำนวนไม่มากแต่มีประสิทธิภาพ เข้าใจปัญหา ได้ประสานกับอดีตนายกรัฐมนตรี 3 คน อดีตประธานรัฐสภา ซึ่งต่างก็ห่วงบ้านเมืองไปบ้างแล้ว
*** กาแฟขมว่าดูทีท่ากันแล้วรูปแบบ 1 ไม่น่าจะผ่านไปได้ด้วยเหตุของการเข้าร่วม แต่รูปแบบที่ 2 หาคนกลางๆ มาเป็นประธานกรรมการน่าจะไปได้ ดูเข้าไปในตอนนี้ อดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่สังคมส่วนใหญ่รับได้ แต่ถ้าตั้งแล้วต้องสนับสนุนท่านเต็มที่และให้อิสระจริงๆ มีข้อชี้แนะอะไรออกมา ทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับไปปฏิบัติ จึงจะเห็นผลและนำประเทศออกจากความขัดแย้งเผชิญหน้าได้ ที่สำคัญทุกฝ่ายถอยออกจากมุมตัวเองเสียบ้าง อย่าไปปลุกปั่น ปลุกระดมด้วยถ้อยคำที่รุนแรงกันนักเลยทั้งคู่ขัดแย้งอะแหล่ะ
**** ตบท้ายต้องขอบพระคุณทุกท่านที่ร่วมงานกอล์ฟการกุศล ฐานแชริตี้ 40 ปีหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ณ สนามกอล์ฟริเวอร์เดล กอร์ฟ คลับ ขอบพระคุณผู้อ่าน ผู้ชม ภาคธุรกิจที่ร่วมกันสนับสนุนและร่วมแข่งขัน รายได้ส่วนหนึ่งจะมอบทำบุญกับโรงพยาบาลสงฆ์ แจ้งวันเวลาให้ทราบเร็วๆ นี้ จะไปร่วมอีกทีก็ยินดี และขอบพระคุณอย่างสูง อ้อ!! กอล์อฟหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีนี้ แรงจริง มีนักกอล์ฟทำโฮล อิน วัน ได้รางวัลรถยนต์มาสด้า 2 ไปครอบครอง จากทั้งหมดที่มาสด้าจัดไว้ 4 หลุม 4 คัน ขอแสดงความยินดีไว้ ณ ที่นี้อีกครั้ง