ยุทธศาสตร์ 20 ปี หลักการดีทำไมถูกค้าน
Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่ถูกจัดให้มีขึ้นตาม ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยุทธศาสตร์ ซึ่งถูกกำหนดไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย มาตรา 263 นั้น ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางจากฝ่ายการเมือง โดยพุ่งเป้าว่าเป็นช่องทางสืบทอดอำนาจแฝงของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เนื่องจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่จะจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย 25 คน มีวาระ 8 ปี คณะกรรมการชุดดังกล่าวมีอายุตราบเท่าที่กฎหมายคงอยู่ และมีบทบาทวางกรอบพัฒนาประเทศยาวนานถึง 20 ปี
นอกจากประเด็นสืบทอดอำนาจแล้ว ฝ่ายการเมืองยังมองด้วยว่า บทบาทของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ซึ่งตามร่างกฎหมายระบุไว้ว่า มีสถานะเป็นหน่วยงานรัฐ (ผู้ร่างอ้างว่าไม่ต้องการให้ถูกครอบงำจากการเมือง) ล้ำหน้ารัฐบาลที่จะมาหลังการเลือกตั้งในปี 2560 เปรียบเหมือนอำนาจใหม่ นอกเหนือจาก 3 อำนาจหลักตามระบอบประชาธิปไตยที่ทราบๆกัน ถัดมาคือหลายฝ่ายกังวลว่าการกำหนดแนวทางพัฒนาประเทศล่วงหน้าถึง 20 ปี จะกลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศมากกว่าส่งเสริม เพราะโลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปเร็วมาก
คุณองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้ให้ความเห็นไว้น่าสนใจตอนหนึ่งว่า การมุ่งใช้ กลไกข้าราชการ (คณะกรรมการ ยุทธศาสตร์) มากำกับดูแลการบริหารราชการแผ่นดินไม่น่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง ส่วนประเด็นที่ย่อยลงมาอีก คือ ถ้ามี คณะกรรมการยุทธ์ศาสตร์แล้ว บทบาทจะต่างจาก สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ อย่างไร ?
วันก่อน "วันมาฆบูชา" พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯออกมาพูดเรื่องนี้โดยกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯได้กล่าวทำนองว่า ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่กำหนดไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นกรอบการพัฒนาประเทศร่วมกันของรัฐบาล เอกชน และประชาชน ในแต่ละช่วงเวลาให้สามารถขับเคลื่อนประเทศไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำเหมือนที่ผ่านมา โดยย้ำด้วยว่า "ยุทธศาสตร์ชาติ เป็นเพียงกรอบกว้างๆ ที่จะทำให้คนในประเทศรู้ว่าจะเดินอย่างไร ไม่ใช่การบังคับว่าต้องทำอะไร " ส่วนแผนฯ 5 ปีของสภาพัฒน์กับนโยบายของรัฐบาลเป็นแผนปฏิบัติในรายละเอียด
สรุปตามคำแถลงของโฆษกประจำสำนักนายกฯข้างต้นได้ความว่า ยุทธศาสตร์ 20 ปี เป็น กรอบใหญ่ ส่วนแผนฯ 5 ปีของสภาพัฒน์ และนโยบายของรัฐบาลในอนาคตเปรียบเหมือนแผนกลยุทธ์ในการนำไปสู่เป้าหมาย
การที่พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช.ประสงค์ให้มี ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อเป็นเข็มทิศให้ประเทศ โดยหลักการแล้วคงไม่มีใครค้าน ตรงกันข้ามกลับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น เพราะประเทศไทยที่ผ่านมาเคลื่อนตัวไปตามกระแสเศรษฐกิจโดยไม่มีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงลงไปว่าจะนำประเทศไปสู่จุดไหนเปรียบเหมือนเรือไม่มีหางเสือ แผนหลักของสภาพัฒน์เป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆในนโยบายของรัฐบาลที่มามาจากการเลือกตั้งเท่านั้น
แต่น่าสงสัยว่า เมื่อหลักการถูกต้องแล้ว ทำไม นักการเมืองจึงมอง คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เหมือนสิ่งแปลกปลอมในระบอบประชาธิปไตย ?
คำถามข้างต้นสะท้อนมุมมองที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ บอก (ยุทธศาสตร์ 20 ปี)เป็นกรอบกว้างๆ แต่อีกหลายฝ่ายกลับมองตรงกันข้าม แต่ข้อเท็จจริงจากรายละเอียดที่มีการเผยแพร่กันออกมา แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวผูกพันกับรัฐบาลไม่น้อยกว่า 5 รัฐบาล หนำซ้ำยังมีคณะกรรมการคอยตรวจการบ้านรัฐบาลในช่วง 2 ทศวรรษข้างหน้าอีกด้วย
พินิจจากมุมแย้งที่ยกมาเป็นตัวอย่างข้างต้นแล้ว โจทย์ของ คสช. และรัฐบาล ที่หวังให้ แผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ได้รับการต้อนรับจากผู้มีส่วนได้เสียทางการเมืองมากขึ้นเพื่อผลักดันให้เป็นพิมพ์เขียวประเทศไทย คือปรับให้ยุทธศาสตร์ 20 ปีเป็น "กรอบกว้างๆ" อย่างที่อ้างอย่างแท้จริง และเปิดช่องว่างให้รัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้งในอนาคต ได้ปรับแต่งแผนตามสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่ขีดเส้นตายตัว เหมือนแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคบังคับเช่นนี้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,134 วันที่ 25 - 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559