“ไมน์ คัมพฟ์” หนังสือฮิตเลอร์เขียน l โอฬาร สุขเกษม

11 ม.ค. 2559 | 04:27 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ม.ค. 2559 | 11:27 น.
 

หนังสือ “ไมน์ คัมพฟ์” (Mein Kampf) หรือแปลเป็นไทยว่า “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” ผลงานเขียนของ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ได้รับการตีพิมพ์อีกครั้งในประเทศเยอรมนี เนื่องในโอกาสที่ลิขสิทธิ์หมดอายุหลังครบ 70  ปีไปแล้ว  ก่อนตีพิมพ์ได้เรียบเรียงใหม่จำนวนหน้า 2,000 หน้า ราคาขายเล่มละ 2,360 บาท  หรือ 59 ยูโร วางขายในเยอรมันเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2559 ที่ผ่าน และหลังวางขายได้ไม่นานหนังสือที่ตีพิมพ์ครั้งแรกหมดเกลี้ยง เรียกว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากแวดวงนักอ่านหนังสือในเยอรมนี แถมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาของเยอรมนีบอกว่า หนังสือเล่มนี้ควรได้รับบรรจุในหนังสือประเภทอ่านนอกเวลาเพื่อให้เยาวชนได้มีความเข้าใจในตัวของฮิตเลอร์

อ่านข้อความในคำนำของผู้แปลเป็นภาษาไทยในการพิมพ์ครั้งที่ 1 บอกว่า หนังสือเรื่อง “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” เล่มนี้เคยตีพิมพ์ในประเทศเยอรมนีมาหลายปีแล้ว โดยถือว่าเป็นตำราการเมืองเล่มหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาในหนังสือได้บรรยายหลักทฤษฎีปัจจุบันอันหน้าใฝ่ใจ เฉพาะในเยอรมนีประเทศเดียวได้ขายไปแล้วหลายล้านฉบับ และได้มีผู้แปลออกเป็นภาษาต่างๆ แทบทุกภาษา โดยเฉพาะในอังกฤษพิมพ์ถึง 13 ครั้งในเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น ....นี่เป็นบางส่วนบางตอนที่บอกกล่าวกันในคำนำของผู้แปลในการตีพิมพ์ครั้งแรกในไทย ซึ่งตีพิมพ์ไปเมื่อปี 2480

ต่อมาก็ได้รับการตีพิมพ์ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2498 ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนการตีพิมพ์ในไทยครั้งที่ 3 ตีพิมพ์เมื่อปี 2513 โดยสำนักพิมพ์คลังวิทยา ส่วนผู้แปลแปลโดยบุคคลผู้ใช้นามปากกาว่า “ศ.ป.” เป็นการแปลแบบถอดความ ไม่ใช่แปลตามตัวอักษร และได้ตัดข้อความที่รุนแรงออกเสียบางตอนเพื่อมิให้ขัดกับกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ ส่วนหลังจากนั้นจะมีการตีพิมพ์อีกกี่ครั้งก็หาทราบไม่ เพราะผมมีอยู่เล่มเดียวก็มากพอแล้ว ซึ่งเป็นหนังสือที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2513 นั่นเอง

ผมก็เป็นเพียงนักศึกษาที่เรียนจบด้านกฎหมายและกลับมาทำงานหนังสือพิมพ์ นักหนังสือพิมพ์กับหนังสืออ่านเป็นของคู่กัน เพียงแต่ว่าผมมักจะเลี่ยงอ่านวรรณกรรมหรือหนังสือที่คนไทยยุค 20-30 ปีมานี้เขียน ไม่ใช่เพราะตั้งข้อรังเกียจอะไร เพียงแต่ว่าไม่ชอบที่เขาวิจารณ์กันเวลาจะรับรางวัลนักเขียนวรรณกรรมไทย มักจะโจมตีกันเสมอว่า ลอกแนวคิดของคนนั้นของคนนี้ ก็เลยเลือกไม่อ่านซะเลยดีกว่า ส่วนใหญ่อ่านหนังสือทุกประเภทที่แปลเป็นไทย โดยเฉพาะวรรณกรรมของต่างประเทศที่เขาตีพิมพ์ขายในไทย หนังสือ “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” ก็เช่นเดียวกัน ที่เลือกซื้อมาอ่านก็เพราะเขาเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่สมัยก่อนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อ่านเพื่อจะได้ทราบแนวคิดของเขาว่าเขาคิดเห็นต่อบ้านเมืองของเขาเป็นอย่างไร ไม่ได้อ่านเพราะศรัทธาในแนวคิดฟาสซิสต์แต่อย่างใด

พออ่านๆ ดูก็เห็นหลายอย่างที่เป็นแนวคิดที่ดีมากๆ ในการจัดระเบียบสังคมเยอมัน และไม่ได้สงสัยเลยว่าทำไมชาติที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 มาแล้วและมีภาระต้องใช้หนี้สงคราม กลับกลายมาเป็นประเทศมหาอำนาจได้ในระยะไม่กี่ปี มีเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าใครโดยเฉพาะอเมริกัน (คนเยอรมันและคนอังกฤษโอนสัญชาติไปผลิตระเบิดนิวเคลียร์ให้) ถนนหนทางก็สร้างได้กว้างขวางใหญ่โต และกะว่าจะสร้างเมืองใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมแต่ก็ทำได้ไม่สำเร็จ เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียก่อน และเยอรมนีเป็นฝ่ายแพ้สงคราม

ในคำนำของผู้แปลในการพิมพ์ครั้งที่ 3 ในไทย ดูจะบอกเรื่องราวได้ดีโดยบอกว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง คณะพรรคแน็ทชั่นแนลโซเชียลลิสต์ก็หมดอำนาจ โดยพรรคนาซีใหม่กำลังฟักตัวขึ้นในเยอรมนีอีกครั้งหนึ่งจนถึงได้ส่งผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้ง แสดงให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์ย่อมซ้ำรอยตนเองเสมอไป .....

คำนำของผู้แต่งหรือ  “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์”(เขียนบนหน้าปกหนังสือว่า “อดอล์ฟ แลร์”) เขียนไว้ว่า ...ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 (2466) ซึ่งเป็นปีที่ 4 ที่ได้เริ่มจัดตั้งคณะพรรคขึ้น คณะกรรมกรเยอรมันแน็ทชั่นแนลโซเชียลลิสต์ก็ถูกยุบ และต้องถูกบังคับให้ล้มเลิกทั่วประเทศ

วันที่ 1 เมษายน 1924  ด้วยผลแห่งคำพิพากษาของศาลในเมืองมิวนิค ข้าพเจ้าก็ถูกศาลตัดสินให้ส่งไปจองจำไว้ ณ ป้อง Landsberg am Lech  การถูกจองจำครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีโอกาสเพียงพอที่จะประกอบกิจอันสำคัญอย่างหนึ่งดังที่ได้เคยรับคำขอร้องจากหลายท่านมาแล้ว และเป็นกรณียกิจซึ่งข้าพเจ้าเองก็เล็งเห็นพ้องด้วยว่า จะเป็นประโยชน์อันใหญ่หลวงแก่การเคลื่อนไหวต่อไป และด้วยเหตุประการนี้ ข้าพเจ้าจึงตกลงใจที่จะเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น เพื่อจะวาดเค้าโครงเพื่อก้าวหน้าต่อไป (สังเกตนะครับ นักการเมือง นักต่อสู้จริงๆ เขาสู้ด้วยความคิด ความเพียร มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่จู่ๆ จะได้เป็นผู้นำขึ้นมาง่ายๆ เหมือนกันบางประเทศ/ผู้เขียน) และเชื่อแน่ว่าจะได้เป็นประโยชน์ในการศึกษามากกว่าไปศึกษาหลักลัทธิหนึ่งลัทธิใดหลายเท่า

ยิ่งกว่านั้นการเขียนหนังสือเล่มนี้ยังเป็นโอกาสที่ข้าพเจ้าจะได้บรรยายเรื่องราวต่างๆ ของข้าพเจ้าและทำลายการกล่าวร้ายอันไม่เป็นความจริงของหนังสือพิมพ์ยิวต่างๆ ที่ตกแต่งขึ้นทับถมข้าพเจ้าเหล่านั้นเสียด้วย งานชิ้นนี้ข้าพเจ้ามิได้มุ่งหวังที่จะให้ผู้อ่านทั้งหลายทราบเท่านั้น แต่หากมุ่งต่อไปสำหรับให้ผู้เลื่อมใสในลัทธินี้ได้มีโอกาสเข้าใจพฤติการณ์ต่างๆ แจ่มชัดยิ่งขึ้นอีกด้วย

ข้าพเจ้าทราบดีว่า น้อยคนนักที่มีชัยด้วการเขียนมากกว่าการพูด ยิ่งไปกว่านั้น การก้าวหน้าของกิจการสำคัญใดๆ ก็ตาม ย่อมเนื่องมาจากความเป็นนักพูดอันยิ่งใหญ่มากกว่าเนื่องมาจากเป็นนักเขียน

อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะก่อให้เกิดสมภาพและสามัคคีธรรม เพื่อต่อต้านและป้องกันลัทธิหนึ่งลัทธิใด จำเป็นอยู่เองที่จะต้องวางแนวหลักการกว้างๆ ไว้ให้แน่นอนเสียก่อน ฉะนั้น หนังสือเล่มนี้จึงเท่ากับเป็นศิลาก้อนแรกซึ่งเป็นหลักการนำไปสู่การงานส่วนย่อยอื่นๆ ต่อไป

ในปัจจุบันนี้ คณะพรรคของเรามีอิทธิพลมั่นคงแข็งแรงที่สุด และแผ่กว้างไปทั่วประเทศเยอรมนี ทั้งแข็งแรงและมั่นคงยิ่งกว่าได้เคยเป็นมาแล้วแต่กาลก่อน.........ลงชื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

หนังสือ “การต่อสู้ของข้าพเจ้า”ที่แปลเป็นภาษาไทยและตีพิมพ์เมื่อปี 2513 นั้นมีทั้งหมด 2 บรรพ บรรพแรกมี 12 บท เริ่มตั้งแต่บ้านของข้าพเจ้า การศึกษาและการต่อสู้ของข้าพเจ้าในเวียนนา แนวทัศน์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในเวียนนา ไปจนถึงบทที่ 12 ว่าด้วยเรื่อง ระยะแรกแห่งการก้าวหน้าของคณะพรรคกรรมกรแน็ทชั่นแนลโซเชียลลิสต์เยอรมัน ส่วนบรรพสองมี 15 บท ตั้งแต่ทฤษฎีแห่งโลกและคณะพรรค รัฐ พลเมืองและการอยู่ใต้บังคับแห่งรัฐ ลักษณะและแนวคิดแห่งรัฐของชาติ ไปจนถึงบทที่ 15 ว่าด้วยเรื่อง การป้องกันในเหตุเฉพาะหน้าในฐานะที่เป็นสิทธิ และมีภาคผนวกของผู้แปลด้วยอีก 4 เรื่อง จำนวนหน้าทั้งหมด 470 หน้าปกแข็ง

ในบทที่ 10 มีข้อความน่าสนใจตอนหนึ่งเกี่ยวกับการศึกษาที่ฮิตเลอร์เขียนถึง เขาเขียนว่า...ก่อนมหาสงคราม (ครั้งที่ 1 ) มีจุดอ่อนแอในการศึกษาของเยอรมนีอยู่มากมายหลายอย่าง เพราะนอกจากจะให้ความรู้ในทางตำราและในทางปฏิบัติบ้างเล็กๆ น้อยๆ แล้ว ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก ไม่มีการสั่งสอนให้รู้จักรับผิดชอบ และมีกำลังใจรู้จักตัดสินใจโดยตนเอง ผลของการอบรมดังที่เป็นอยู่ จึงทำให้ผู้ที่ได้รับการอบรมเป็นคนไม่เข้มแข็งพอ ความจริงถ้าได้รับการอบรมที่ถูกต้องแล้ว ชาวเยอรมันจะเป็นคนเข้มแข็งมากกว่านี้  มีเหตุผลบางประการที่ทำให้มีการสละสัญชาติและปิตุภูมิกันได้ง่ายๆ ยิ่งกว่าชาวชาติอื่น ทั้งนี้เพราะถือภาษิตที่ว่า “เมื่อเรามีหมวกอยู่ในมือแล้ว เราย่อมจะไปได้ทั่วโลก”  ผลแห่งการศึกษาผิดๆ เช่นนี้ ทำให้ผู้ได้รับการศึกษาไม่มีความสามารถพอในการที่จะรับผิดชอบด้วยตนเอง .....

ข้อความบางตอนจากบทที่ 12 ...ปัญหาในเรื่องการฟื้นฟูอำนาจทางการเมืองของชาติเรา ย่อมเป็นปัญหาอันสำคัญยิ่งที่จะทำให้ชาติของเราสามารถรักษาตัวเองได้ ความชำนาญทั้งหลายย่อมเป็นเครื่องแสดงถึงนโยบายต่างประเทศได้อย่างดี และกำลังทัพเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญส่งเสริมให้ประเทศคงอยู่ได้ยิ่งกว่าสิ่งอื่นๆ เพราะสัมพันธมิตรย่อมมีทั้งอาวุธและคน  ด้วยประการฉะนี้จึงเห็นได้ว่าอังกฤษเท่านั้นที่จะเป็นมิตรที่ดีในโลกนี้ตราบที่โลกยังมองดูความเป็นผู้นำ และจิตใจของพลเมืองในการต่อสู้ย่อมจะเห็นได้ว่า ประเทศที่หวังจะเอาชัยใครแต่ไม่ประสงค์จะเพิ่มกำลังต่อสู้นั้น มีอยู่น้อยมาก จนไม่อาจเทียบได้กับประเทศที่ต้องการเพิ่มพูนกำลังของตนเลย....การที่จะฟื้นฟูอิสรภาพของชาติเยอรมันจำจะต้องฟื้นฟูจิตใจของปวงชนให้ร่วมกันได้เสียก่อน....ในการเป็นผู้นำนั้น ไม่แต่จะต้องมีกำลังใจเท่านั้น ยังจะต้องมีความบากบั่นและปราดเปรื่องในทุกๆ ทางรวมกันด้วย.....

ในบรรพสอง บทที่ 2 เขียนได้น่าสนใจว่า....บ่อยครั้งที่สุดที่แสดงให้เห็นว่า ประชาชนของเราไม่รู้จักการใช้ลิ้นเสียเลย และยากที่จะทำได้ดี ฉะนั้น การเก็บความลับให้พ้นจากการสืบค้นของข้าศึกจึงไม่ได้ผลดีนัก ขอให้ท่านคิดดูเองเถิดว่า การศึกษาของชาวเยอรมันเมื่อก่อนหน้ามหาสงครามนั้น ไม่มีการสอนให้รู้จักนิ่งเฉยเสียบ้างเลยหรือ  เป็นความจริง โรงเรียนในสมัยโน้นสอนให้เห็นว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เล็กน้อยที่สุดไม่น่าเอาใจใส่ แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้แหละที่เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง อันจะทำให้คนหลายล้านคนต้องได้รับความวิบัติ .....เพราะเหตุที่ประชาชนของเราไม่รู้จักการใช้ลิ้นนี่เอง พวกเหล่านี้มักจะชอบพูดไม่หยุดหย่อน ในเวลาสงคราม ผลแห่งการพูดพล่อยๆ อาจทำให้ถึงซึ่งความพ่ายแพ้ได้ และย่อมเป็นเหตุสำคัญในการสงครามซึ่งจะทำให้ผลสิ้นสุดไม่เป็นที่พอใจนัก......

นี่เป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นนะครับ ก็น่าแปลกนะ ฮิตเลอร์ยังเขียนด้วยว่า การสอนวิชาประวัติศาสตร์มิใช่แต่จะสอนเพียงให้รู้ว่าสิ่งใดบ้างที่บังเกิดขึ้นมาแล้วเท่านั้น แต่ประสงค์จะให้เรียนรู้ถึงอนาคตและสิ่งที่จะเกิดชาติของเราต่อไปต่างหาก.....ทุกวันนี้ในแวดวงนักวิชาการไทยก็ยังใช้คำพูดที่ไม่แตกต่างกับฮิตเลอร์กล่าวเอาไว้เลย ทั้งที่เวลาผ่านมากว่า 70 ปีเข้าไปแล้ว หนังสือ “ไมน์ คัมพฟ์” (Mein Kampf) หรือแปลเป็นไทยว่า “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” งานเขียนของ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” เป็นหนังสือที่น่าศึกษา ครับ