ผู้นำจีนคณะใหม่ กับทิศทางโลกและไทย(ตอนจบ)

06 ก.พ. 2561 | 23:21 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.พ. 2561 | 06:57 น.
TP07-3337-4A ทิศทางโลก
ศ.ดร.สุรเกียรติ์ กล่าวถึงทิศทางสำคัญของโลกในประเด็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจอื่นนอกเหนือจากจีน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

• การเกิดขึ้นของ Disruptive Technology
เรากำลังพบการเปลี่ยน แปลงทางเทคโนโลยีที่สำคัญมาก มี disruptive technology ที่ เปลี่ยนแปลงวิถีการผลิต ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศด้วย เช่น การที่มีเทคโนโลยี 3D Printing สามารถผลิตสิ่งของ เช่น ส่วนประกอบของอาคาร ขึ้นมาได้ รวมทั้งระบบ automation ที่เข้ามาทดแทนแรงงานคน ซึ่งก้าวหน้าไปมากในประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งจีน อาจส่งผลให้ประเทศพัฒนาแล้วที่เคยไปตั้งฐานการผลิตในประเทศกำลังพัฒนาที่ค่าแรงถูกอาจย้ายฐานกลับไปผลิตในประเทศของตน (Re-shoring Investment) การค้าระหว่างประเทศที่เกิดจากตรงนี้ส่วนหนึ่งก็จะหายไป นั่นคือตัวอย่างของผลจาก Disruptive Technology

[caption id="attachment_255932" align="aligncenter" width="503"] การเชื่อมโยงภายใต้ยุทธศาสตร์ Asia-Africa Growth Corridor ที่มา https://i.ytimg.com/vi/LH-rPgIzpZQ/maxresdefault.jpg การเชื่อมโยงภายใต้ยุทธศาสตร์ Asia-Africa Growth Corridor
ที่มา https://i.ytimg.com/vi/LH-rPgIzpZQ/maxresdefault.jpg[/caption]

• ยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจอื่นๆ
ศ.ดร.สุรเกียรติ์ กล่าวว่าอาเซียนมียุทธศาสตร์หลักๆ คือเรื่อง ASEAN integration และ ASEAN Connectivity 2 เรื่องนี้น่าจะไปกันได้กับ BRI ของจีนที่จะลงมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความจริงนี่เป็นความฉลาดของจีนที่จะใช้ประโยชน์จากความเชื่อมโยงทางกายภาพที่อาเซียนมีกันอยู่ภายในก่อนหน้าแล้วเป็นพื้นฐานสำหรับ BRI อย่างไรก็ตาม BRI และยุทธศาสตร์อื่นของจีนที่กล่าวมาที่จะสัมพันธ์กับอาเซียน เช่น Pan-Beibu RCEP หรือ FTAAF ต้องดูว่าอาจจะกระทบกับยุทธศาสตร์ สำคัญของอาเซียนเรื่อง ASEAN Centrality ที่อาเซียนตั้งไว้ว่าตนจะต้องอยู่ในฐานะผู้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ความร่วมมือทั้งหลายในอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้หรือไม่ ต้องดูกันต่อไปว่าในยามที่จีนมีความริเริ่มยุทธศาสตร์ต่างๆ ลงมาสู่ภูมิภาคนี้มาก อาเซียนจะยังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และผู้นำชาติอาเซียนจะยังมีความไว้ใจใกล้ชิดกันอยู่หรือไม่

ส่วนญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ก็มียุทธศาสตร์ที่ออกมาคาน มาต้าน มาทาน BRI และยุทธศาสตร์ของจีนในภูมิภาคนี้ ในส่วนของญี่ปุ่น มี Abe Initiative และ AAGC (Asia-Africa Growth Corridor) (ดูภาพที่ 1) ที่จะเชื่อมแอฟริกา เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน ส่วนสหรัฐอเมริกาก็ตอบโต้ BRI อย่างเงียบๆ ด้วยยุทธศาสตร์ใหม่ของสหรัฐฯที่จะเรียกเขตแถบนี้ใหม่ ไม่เรียกว่าเอเชีย-แปซิฟิก หรืออาเซียนพลัส (ASEAN+) หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เรียกว่าภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก (Indo- Pacific Region) (ภาพที่ 2) ดังที่ปรากฏในการประชุม Quad Summit หรือการประชุมสุดยอด 4 ประเทศ ระหว่างทรัมป์ อาเบะ โมดี และเทิร์นบุลล์ ผู้นำอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลีย ซึ่งคล้ายจะส่งสัญญาณว่านี่คือทิศทางที่จะตอบสนองการขยายยุทธศาสตร์ของจีน

[caption id="attachment_255930" align="aligncenter" width="503"] ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่มา https://www.coral-reef-info.com/image-files/Indo-Pacific-map.png ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
ที่มา https://www.coral-reef-info.com/image-files/Indo-Pacific-map.png[/caption]

ทิศทางของไทย :ต้องเริ่มที่การศึกษา
ในโลกที่มีทั้งฝั่งที่เป็น Anti-globalization กับฝ่าย Pro-Globalism และในแต่ละฝ่ายก็เต็มไปด้วยยุทธศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจ และมีปัจจัยแทรกที่สำคัญคือ Disruptive Technology ไม่ว่าจะในฝ่ายใดนี้ การมองว่าประเทศไทยจะเดินไปอย่างไร ควรเริ่มที่การศึกษา เพราะ จุดอ่อนใหญ่ของไทยทุกวันนี้ คือ ขาดการจัดการศึกษาที่จะเตรียมคนและประเทศให้สอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนา ไม่ว่าเราจะเลือกเดินไปในแง่ใด เราก็ยังไม่ได้เตรียมตัว เช่น ถ้าเราจะเลือกเดินไปทางนวัตกรรม เป็น 4.0 แบบที่เราพูด และเหมือนกับหลายประเทศ เราก็ยังไม่ได้มีการเตรียมตัวที่ชัดเจนที่จะมารองรับการพัฒนาในทางนี้

กล่าวคือถามว่าอะไรเป็นพื้นฐานของนวัตกรรม ก็คือ ความรู้ (knowledge) แล้วอะไรเป็นพื้นฐานขององค์ความรู้ ก็ต้องตอบว่าการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) ถามต่อไปว่าอะไรคือพื้นฐานของการวิจัยและพัฒนาคำตอบก็คือทุน ต้องมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา ถึงจะมีองค์ความรู้ แล้วถึงจะมีนวัตกรรม แต่ปัจจุบัน ประเทศไทยมีงบR&D ประมาณ 0.4% ของ GDP แบ่งเป็นเอกชน 0.2% ภาครัฐ 0.2% และของภาครัฐก็ไม่เคยใช้หมด ส่วนสิงคโปร์มีประมาณ2% ของ GDP สิงคโปร์ จีนมีประมาณ 2% ของ GDP จีน (ซึ่งเป็น GDP ที่ใหญ่อันดับ 2 ของโลก) ดังนั้นถ้าเราบอกว่าจะไปเป็นประเทศผู้สร้างนวัตกรรม แต่เราไม่มีพื้นฐาน (requirement) ของนวัตกรรมเลย คือไม่มีทุนด้านวิจัยและพัฒนา ทำให้ไม่มี R&D เพียงพอ แล้วก็ไม่มีองค์ความรู้ ก็ไม่มีทางที่เราจะไปถึงนวัตกรรมได้

[caption id="attachment_255928" align="aligncenter" width="503"] เวที Think Tank ครั้งที่ 14 ของสถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ เวที Think Tank ครั้งที่ 14 ของสถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ[/caption]

หรือหากเราไม่เป็นประเทศผู้ผลิตนวัตกรรม เราจะตั้งเป้าเป็นประเทศผู้ใช้เทคโนโลยี (Technology User) เหมือนสิงคโปร์ ซึ่งนำหน้าเรามากในเรื่องนี้ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าจะเป็นผู้ใช้นวัตกรรม เราต้องเร่งผลิตวิศวกรสายอาชีพ (practical engineers) และบัณฑิตสายวิชาชีพ (practical graduates) คือ ปวช. และ ปวส. ทุกวันนี้เราเตรียมพร้อม ในเรื่องนี้บ้างหรือยัง

แต่หากเราเป็นผู้สร้างนวัตกรรม (Innovator) ไม่สำเร็จ เป็นผู้ใช้นวัตกรรม (Technology user) ก็ยังไม่เดินหน้าทำให้สำเร็จ ก็มีทางเดียวคือต้องเอา ready made ต้องเดินตามพระราชวิเทโศบายของรัชกาลที่ 5 คือ นำเข้าคนเก่งจากที่อื่นเข้ามาทำ เอามหาวิทยาลัยต่างประเทศเข้ามาตั้ง เอาผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศเข้ามา แต่เวลานี้ก็ยังไม่เห็นว่าเราจะไปทางใด ประเด็นคือ ไม่ว่าจะในทางใดเราก็ยังไม่มีการ เตรียมตัว ซึ่งการเตรียมพื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในจีนหรือในเยอรมนี เวลาเขาพูดถึงนโยบาย พูดถึงทิศทางที่ประเทศจะไป ไม่ว่าจะนโยบายภายในหรือระหว่างประเทศ เช่น จีนพูดว่าจะไปทางนวัตกรรม เยอรมนีพูดว่าจะไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 หมายความว่าเขาเตรียมพร้อมเรื่องเหล่านี้มา 5-10 ปี แล้ว ทิศทางที่เขาประกาศนั้นเป็นผลของการวิจัยเมื่อ 10 ปีก่อน

ad-hoon-1 ผมจึงขอฝากไว้ว่าอยากให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการของไทยได้ร่วมกันคิดตรงนี้ ผมคิดว่าการที่ประเทศไทยจะรอดหรือไม่รอด ไม่ได้ชี้ขาดที่เรื่องเศรษฐกิจ ไม่ได้ชี้ขาดที่การเมือง แต่ผมคิดว่าอยู่ที่เรื่องการศึกษา ถ้าเรายังไม่ยกเครื่องการศึกษา ซึ่งหมายความรวมถึงการศึกษาในทุกๆ เรื่อง ไม่ใช่เฉพาะการศึกษาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เฉพาะเยาวชน แต่เป็นการเรียนรู้ของคนในสังคมทั้งหมด ถ้าเราไม่ยกเครื่องระบบการเรียนรู้ของประเทศ เราก็คงจะไปไม่รอดไม่ว่าในทางใด

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,337 วันที่ 4 - 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว