5 เรื่องที่ผมได้เรียนรู้ จากดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ

05 ธ.ค. 2560 | 23:20 น.
TP07-3320-2A 1.ผมพบ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ครั้งแรกที่โรงแรม Nikko กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในการประชุมของ Institute of South East Asian Studies ในปี 2007 ตอนนั้นท่านกำลังเตรียมตัวเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน ซึ่งท่านจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 1 มกราคม 2008 ในเวลานั้นผมเพิ่งเรียนจบ PhD จาก University of Melbourne โดยทำ thesis ศึกษาผลกระทบของการสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยเฉพาะการทำแบบจำลองการลดละเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ผมคุยกับท่านเรื่องนี้ และท่านให้ผมส่งอี-เมล์ thesis ของผมให้ท่านในอี-เมล์ส่วนตัว ผมดีใจมากที่บุคคลระดับนี้ที่เป็นทั้งนักวิชาการที่ประสบความสำเร็จ นักการเมืองที่ไม่มีจุดด่างพล้อย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ข้าราชการรัก และต่างชาติยอมรับ ให้ความสนใจงานของนักวิชาการฝึกหัดอย่างผม

สิ่งที่ผมเรียนรู้ในวันนั้นคือ ท่านเป็น คนที่ให้โอกาสทุกๆ คน แม้เด็กเมื่อวานซืนอย่างผม ซึ่งแน่นอนผู้ได้รับโอกาสเช่นนั้นอย่างผมประทับใจในผู้ใหญ่ท่านนี้มากๆ

2.อาจารย์สุรินทร์ เคยเล่าให้ฟังครับว่า ตอนเด็กๆ ท่านชื่อ อับดุลราฮิม บิน อิสมาแอล แล้วคุณยายของท่านอยากให้ท่านมีชื่อไทย เลยตั้งชื่อท่านใหม่ว่า สุรินทร์ โดยตั้งตามชื่อของนักการเมืองท้องถิ่นที่คุณยายและคนในพื้นที่ของท่านศรัทธา ท่านบอกว่า ถ้าจะเล่นการเมือง ต้องทำให้ได้อย่างนี้ ต้องทำเพื่อประชาชน จนคนเขาศรัทธา เชื่อมั่น แน่นอนในกรณีนี้คือเชื่อมั่นและศรัทธาถึงขนาดนำมาตั้งเป็นชื่อหลานชายของตนเอง ซึ่งในฐานะนักการเมือง ท่านก็สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาได้อย่างสูงสุดครับ

อาจารย์สุรินทร์คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่จนถึงทุกวันนี้ คนในกระทรวงการต่างประเทศที่เคยทำงานร่วมสมัยกับท่าน รักและกล่าวยกย่อง กระทรวงการต่างประเทศเป็นหนึ่งในกระทรวงที่มีวัฒนธรรมการทำงานของตนเอง ด้วยความที่มีคนเก่งและผู้ที่จบการศึกษาจากต่างประเทศในมหาวิทยาลัยระดับโลกเป็นจำนวนมาก การเข้าไปครองพื้นที่ในใจคนที่อาจจะมีความมั่นใจในตนเองสูงจึงเป็นเรื่องยาก แต่ด้วยบุคลิก-ภาพสบายๆ ใจเย็น เป็นอาจารย์ เป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำ ตลอดจนสอนงานคนในกระทรวงให้ทำงานเป็นมากกว่าที่จะใช้การตำหนิหรือกระฟัดกระเฟียดเมื่อข้าราชการทำงานเล็กๆ น้อยๆ พลาด

อาจารย์สุรินทร์สอนตั้งแต่การร่าง สุนทรพจน์ จนถึงการทำนโยบายการต่างประเทศ ทำให้อาจารย์สุรินทร์เป็นที่รักและศรัทธาอย่างมากในกระทรวงแห่งนี้

[caption id="attachment_238803" align="aligncenter" width="335"] ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ[/caption]

3.ก่อนที่ท่านจะดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน ตำแหน่งนี้เปรียบเสมือนรางวัลให้กับนักการทูตอาวุโสภายหลังเกษียณอายุ บทบาทของเลขาธิการอาเซียนในการนำเสนอและบังคับใช้นโยบายต่างๆ ของอาเซียนก็มักจะถูกนินทาว่าไม่มีความเอาจริงเอาจัง แต่อาจารย์สุรินทร์เข้า มาในมาดใหม่ ผมคิดว่าการเป็นเลขาธิการอาเซียนต้องมีความเก๋าใน 4 ด้าน
แน่นอน ด้านแรกต้องมีความเป็นนักวิชาการ เพราะการบูรณาการ 10 ประเทศ ที่มีความแตกต่างกันในทุกมิติ ทั้งการเมืองการปกครอง ระดับการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ และมิติทางสังคม วัฒนธรรม จำเป็นต้องใช้ความเป็นนักวิชาการในการแสวงหาองค์ความรู้ที่ลึกซึ้ง ซึ่งอาจารย์สุรินทร์มีความพร้อม เพราะท่านเรียนจบจาก Harvard มหาวิทยาลัยระดับโลก และเคยมีประสบการณ์เป็นอาจารย์ที่ธรรมศาสตร์

ด้านที่ 2 ต้องมีความเป็นนักการเมือง เพราะต้องเป็นผู้ประสานผลประโยชน์ทั้งภายในอาเซียนและระหว่างอาเซียนกับนานาชาติ ซึ่งแน่นอนนักการเมืองนํ้าดีอย่างอาจารย์สุรินทร์ทำหน้าที่นี้ได้สบายมาก และด้านที่ 3 ต้องมีความเป็นนักธุรกิจ เพราะหนึ่งในหน้าที่สำคัญอาจจะทางอ้อมของตำแหน่งนี้คือ การเป็น Salesman ตามที่อาจารย์สุรินทร์มักจะเรียกเสมอๆ ในประเทศในอาเซียนในการดึงดูดการค้าและการลงทุน ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นนักธุรกิจในการแสวงหาทุนมาทำกิจกรรมต่างๆ ของสำนักเลขาธิการอาเซียนที่มีขนาดใหญ่ มีหน้าที่มากมาย แต่มีงบประมาณเพียงปีละ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ดังนั้นเงินสมทบทุนจากภาคส่วนต่างๆ มีความสำคัญมาก และด้านสุดท้ายคือ ต้องมีความเป็นข้าราชการ ซึ่งอาจารย์สุรินทร์อาจจะมีประสบการณ์ด้านนี้น้อยหน่อย แต่ท่านมี Learning Curve ที่เรียนรู้เร็วมาก เพราะการทำงานในองค์กรใหญ่ที่มีวัฒนธรรมองค์กร และยังต้องมีพิธีการต่างๆ ในระดับนานาชาติ ต้องอาศัยกลไกเหล่านี้ซึ่งท่านทำได้ดีไม่มีบกพร่อง

4.ผู้นำต้องกล้าตัดสินใจและประสานผลได้ให้กับทุกฝ่าย ผมขอยกตัวอย่าง 2 เหตุการณ์สำคัญๆ ครับ เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 1997 ในวันที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ในห้วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของ 1997 Asian Financial Crisis หรือวิกฤติต้มยำกุ้ง อาจารย์สุรินทร์ในฐานะ รมว.การต่างประเทศของไทย ต้องเดินทางไปประชุมสุดยอดอาเซียนที่กัวลาลัมเปอร์ ในวันที่ทุกคนกำลังชี้หน้าว่าไทยคือคนที่ทำให้เกิดวิกฤติครั้งนี้และทุกคนต้องเดือดร้อน อาจารย์สุรินทร์ประกาศว่า อย่ามัวมองว่าตอนนี้เราตกตํ่าอย่างไร แต่นาทีนี้น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการกอบกู้อาเซียนและเรามาคิดกันดีกว่า ในอนาคตอาเซียนจะยิ่งใหญ่ได้อย่างไรจากจุดตํ่าสุดนี้ และนั่นทำให้เกิด ASEAN Vision 2020 การแสดงวิสัยทัศน์ทิศทางการพัฒนาอาเซียนที่ชัดเจน และเป็นวิสัยทัศน์ครั้งแรกของอาเซียน หลังจากที่องค์กรอาเซียนแห่งนี้ก่อตั้งมาแล้ว 30 ปี (1967-1997)

โปรโมทแทรกอีบุ๊ก เหตุการณ์ครั้งที่ 2 ที่ผมคิดว่าน่าจดจำคือ เหตุการณ์พายุไซโคลนนาร์กิส ถล่มเมียนมาในช่วงกลางปี 2008 ซึ่งนั่นก็คือภายหลังจากที่อาจารย์สุรินทร์เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการได้ประมาณ 5 เดือน นาร์กิสคือพายุที่มีความรุนแรงเป็นอันดับที่ 5 ในประวัติศาสตร์โลก อาจารย์สุรินทร์มักจะแซวว่านี่คือการรับศีลจุ่มสำหรับการเป็นเลขาธิการอาเซียนของท่าน ในเวลานั้นที่เมียนมายังปิดประเทศ ชาวพม่าล้มตายทันทีหลังเกิดพายุเกือบ 140,000 คน และกำลังนอนรอความตายอยู่อีกเป็นจำนวนมาก แต่พม่าก็ยังคงปิดประเทศเพราะผู้นำเผด็จ การทหารในเวลานั้นกังวลเรื่องความมั่นคงของชาติ จากการที่ต่างชาติที่มาพร้อมกับความช่วยเหลือจะเข้าแทรกแซงกิจการภายใน ความช่วยเหลือของยุโรปและสหรัฐฯ นอกจากการแพทย์ การกู้ภัย และสิ่งของบรรเทาทุกข์ ก็เดินทางมาพร้อมกับกองกำลัง เรือรบ และเรือบรรทุกเครื่องบิน ปัญหาที่จะเป็นชนวนไปสู่การใช้กองกำลังรักษาสันติภาพเข้าถล่มเมียนมาเพื่อเหตุผลทางมนุษยธรรมกำลังจะเกิดขึ้น และแน่นอนเกิดขึ้นในประเทศที่มีรั้วบ้านติดกับไทย 2,401 กม.

ในเวลานั้นอาจารย์สุรินทร์เลือกใช้เวทีอาเซียนและประเทศไทยในการเป็นตัวกลางที่รัฐบาลทหารของเมียนมาไว้ใจในการเป็นจุดศูนย์รวมความช่วยเหลือ และให้เฉพาะฝ่ายที่ไทยและอาเซียนคัดกรองแล้วเท่านั้นในการเข้าไปบรรเทาทุกข์ในเมียนมา และทำให้เราสามารถรอดพ้นจากการใช้กองกำลังเข้าถล่มเมียนมาไปได้ ไทยกับอาเซียนได้รับความไว้วางใจในเวทีโลก และเมียนมาก็รู้ว่าตัวเองมีอาเซียนและไทยเป็นมิตรเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับตนเองในการเปิดประเทศที่จะเกิดต่อไปในปี 2010

5.ตลอด 10 ปีจากวันนั้นที่ผมได้พบท่านเป็นครั้งแรก อาจารย์สุรินทร์ก็ให้ความกรุณากับผมมาตลอดทั้ง 10 ปี ไม่ว่าจะเป็นงานวิชาการ งานหนังสือ รายการโทรทัศน์ และเมื่อศูนย์อาเซียนศึกษาของเราจัดงานใหญ่ โดยเฉพาะงานสัปดาห์จุฬาฯ-อาเซียน ตลอด 6 ครั้งที่ผ่านมา ท่านคือ องค์ปาฐกหลักที่ให้ insight ดีๆ กับพวกเราเสมอ ทุกครั้งท่านจะบรรยายแบบ Bilingual 2 ภาษา ทำให้จับใจทั้งคนไทยและผู้ฟังต่างชาติ

แบนเนอร์รายการฐานยานยนต์-2-2 และท่านยังสอนให้ผมรู้ว่าวิธีการสอนหนังสือที่ดีคือต้องเลือกเล่าเรื่องที่คนฟังสนใจจากมุมมองต่างๆ แบบสหสาขาวิชารอบด้าน ผมฟังท่านเล่าเรื่องเดิมแต่เปลี่ยนกลุ่มคนฟังด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ หลายๆ ครั้งที่มุกตลกของท่านทำให้บรรยากาศการเรียนรู้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น แต่ทุกครั้งการบรรยายของท่านจะตอบโจทย์ และ Articulate ประเด็นที่ท่าน และเราผู้จัดงานต้องการสื่อถึงได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ศิลปะการเล่าเรื่องของอาจารย์สุรินทร์มัดใจคนฟังให้ตกหลุมรักท่านได้ไม่ยาก และผมเองก็พยายามทุกๆ วันกับการพัฒนาการสอนการบรรยายให้ได้แบบท่าน

ผมเชื่อว่ามาถึงตอนนี้อาจารย์สุรินทร์ คงยิ้มอย่างมีความสุข ด้วยท่าทางสบายอย่างที่พวกเราคุ้นชิน และคอยมองดูพวกเราเดินหน้าอาเซียนอยู่บนสวรรค์ สำหรับอาจารย์สุรินทร์ พิศสุวรรณที่เป็นอาจารย์ เป็นนักวิชาการชั้นเลิศ นักการเมืองที่ไม่มีประวัติด่างพร้อย รัฐมนตรีที่มีภาวะผู้นำ และผู้นำองค์กรระหว่างประเทศที่เดินหน้าอาเซียนได้อย่างเข้มแข็งและทั่วโลกยอมรับ Inna lillahi wa inna ilayhi raji’un มุสลิมเขามีธรรมเนียมพูดว่า ท่านได้กลับไปสู่ความกรุณาของพระอัลเลาะห์แล้ว แต่ผมกำลังเสียใจและระลึกถึงท่านอยู่ครับ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,320 วันที่ 7 - 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว