บรูไนดารุสซาลาม หรือที่คนไทยเรียกสั้นๆ ว่า “บรูไน” เป็นประเทศหนึ่งในสมาคมประชาชาติ แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน (ASEAN) ปัจจุบันได้รับการจัดอันดับด้านความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business-EoDB) จาก World Bank Doing Business Report ประจำปี ค.ศ. 2018 ในฐานะ ประเทศที่มีพัฒนาการด้านความสะดวกในการดำเนินธุรกิจมากที่สุดในโลก 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บรูไนได้รับการจัดอันดับด้านความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ จากอันดับที่ 105 ในปี 2557 มาเป็นอันดับที่ 56 ในปีปัจจุบัน (จัดอันดับจาก 190 ประเทศที่เข้าร่วม) และมีคะแนนประสิทธิภาพโดยรวม (Distance to Frontier : DTF) ที่ 70.60 คะแนน ซึ่งพิจารณาจากประสิทธิภาพของตัวชี้วัดในแต่
ละด้านของบรูไน เมื่อเทียบกับประเทศที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้ประเทศไทยมีคะแนน DTF โดยรวมที่ 77.44 คะแนน โดยอยู่ในอันดับที่ 26 ในปีนี้
ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากแผนการขับเคลื่อน นโยบายวิสัยทัศน์ 2035 หรือ Wawasan Brunei 2035 ซึ่งตั้งเป้าหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศ จากที่ต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกนํ้ามันและก๊าซเป็นหลักไปสู่อุตสาหกรรมที่เน้นความยั่งยืนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา การบริการ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก หรืออุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า รัฐบาลบรูไนเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ด้านพลังงาน ซึ่งนับวันมีแนวโน้มจะหมดไปและมีความผันผวนในราคาสูง ทั้งนี้สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น รัฐบาลบรูไนได้เร่งขยายสนามบินหลักของประเทศ เพื่อรองรับเที่ยวบินระหว่างภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น และได้จัดทำแผนแม่บทสำหรับพัฒนาพื้นที่ย่อยในบันดาร์เสรีเบกาวัน ซึ่งครอบคลุม 5 สาขา ได้แก่ สนามบิน ศูนย์ราชการ การศึกษาและวัฒนธรรม ศูนย์ธุรกิจและการเงิน และการท่องเที่ยว เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไป
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทย คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการไทยมีความชำนาญในการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก เนื่องจากไทยได้ดำเนินการเรื่องการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในประเทศมาแล้วไม่ตํ่ากว่า 10 ปี และยังมีการวิจัย รวมทั้งหน่วยงานราชการต่างๆ ที่ดูแลการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างจริงจัง นอกจากนี้สภาพภูมิประเทศของไทยและบรูไนยังมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก เพราะเป็นพื้นที่ป่าฝนเขตร้อนเช่นเดียวกัน จึงทำให้สามารถนำองค์ความรู้บางส่วนไปประยุกต์ใช้กับพื้นที่ใหม่ได้ไม่ยาก โดยพื้นที่ที่ฝ่ายสภานิติบัญญัติของบรูไน (Legislative Council-LegCo) กล่าวว่าเหมาะสมแก่การพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ คือ เขต Tutong และเขต Temburong ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้เมืองหลวง และสนามบินหลักของประเทศมากที่สุด
สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจเข้ามาทำธุรกิจการค้าและการลงทุนกับบรูไน ปัจจุบัน บรูไนอนุญาตให้ผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาลงทุนได้เกือบทุกสาขา รวมถึงอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นได้ถึง 100% ในทุกสาขา ยกเว้นอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพยากรภายในประเทศและอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางอาหารแห่งชาติ ซึ่ง ยังต้องมีผู้ถือหุ้นภายในประเทศอย่างน้อย 30% ในสาขาการเกษตรประมง และการแปรรูปอาหาร เป็นต้น
แม้บรูไนจะได้รับการจัดอันดับด้านความสะดวกในการดำเนินธุรกิจให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นอย่างน่าสนใจ แต่ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการไปลงทุนในบรูไนยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆอีกด้วย โดยบรูไนเป็นประเทศที่มีประชากรประมาณ 400,000 คน ถือเป็นตลาดขนาดเล็ก มีระบบการขนส่งที่ยังต้องได้รับ การพัฒนาอีกมาก เนื่องจากระบบการขนส่งภายในประเทศส่วนใหญ่ยังมีเพื่อรองรับกิจกรรมทางอุตสาหกรรมมากกว่า ไม่เอื้อต่อระบบขนส่งมวลชนที่เป็นปัจจัยหลักของการท่องเที่ยว นอกจากนี้ บรูไนนับถือศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด โดยอาหารทุกชนิดที่นำเข้าต้องผ่านการตรวจสอบจากกระทรวงศาสนา (Ministry of Religious Affairs) และกระทรวงอุตสาหกรรม (Ministry of Industry and Primary) อย่างเข้มงวด ทำให้มีแต่อาหารฮาลาล ไม่มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายอิสลาม (Sharia Law) ที่บรูไนเพิ่งประกาศใช้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกคน ทั้งที่นับถือศาสนาอิสลามและศาสนาอื่น ๆ เมื่อไม่นานมานี้ จึงอาจส่งผลกระทบต่อความน่า สนใจในการทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและภาคบริการในบางส่วน
พบกับอัพเดตความเคลื่อนไหวและโอกาสในตลาดต่างประเทศที่สถานทูตไทยทั่วโลกตั้งใจติดตามมาให้ภาคเอกชนไทยได้ที่เว็บไซต์ www.globthailand.com หากมีข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติม สามารถเขียนมาคุยกันได้ที่
[email protected]
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,317 วันที่ 26 - 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560